วิเคราะห์พื้นฐาน


สารบัญ
1:ลิ้งบทวิเคราะห์พื้นฐาน (แนะนำ)
2:ขายIphone5 10,000บาท!- การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเรื่องราคาและมูลค่า (แนะนำ)
3:ตัวอย่างการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นTPAโดยดูปัยจัยพื้นฐาน
4:ตัวอย่างการิเคราะห์ธุรกิจโรงพยาบาลโดย5 Force Model (แนะนำ)
5:ตัวอย่างการหาหุ้นดีที่โลกลืม ในเวลาที่setขึ้นมาสูงสุดในรอบ16ปี 
6:ข้อมูลและการวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมี  
7:หุ้นถูก หุ้นแพงดูอย่างไร? และวิธีวัดค่าP/E (แนะนำ)
8:สรุปสภาพเศรษฐกิจโลกปี2013

(1)ลิ้งบทวิเคราะห์พื้นฐาน

เส้นทางชีวิตของเสี่ยยักษ์ เซียนหุ้นพันล้าน 

แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดย ดร.นิเวศน์

การวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้บริหารโดย อ.คเชนท 

คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา by ลูกอิสาน  

การบริหารเงินและพอร์ต

สรุปหนับสือ Beating the Street ของ Peter Lynch 

เหตุการณ์สำคัญและแง่มุมต่างๆของ Warren Buffet 

หุ้นวัฏจักร 

ROE ROA P/E P/BV

Balance Sheet 

อ่านงบการเงินเบื้องต้น 

Free float คืออะไร และเอามาใช้ดูหุ้นยังไง  

Warrantคืออะไร? และวิธีคำนวณ 

วิธีดูแนวโน้มเศรษฐกิจแบบง่ายๆโดย PMI  

เศรษฐศาสตร์และการลงทุน 


(2)ขายIphone5 10,000บาท!- การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเรื่องราคาและมูลค่า

 หมายเหตุ:เขียนไว้วันที่15/10/12, การเปรียบเทียบระหว่างหุ้นกับIphone5 เป็นตัวอย่างสมมุติเท่านั้นนะครับเพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพและเข้าใจสิ่งที่ผมอยากจะสื่อเรื่องที่คนเราจะมีการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเวลาซื้อของในโลกความจริงแต่กลับไม่มีเหตุผลและใช้อารมณ์เวลาซื้อหุ้น(ในความเป็นจริงมูลค่าiphoneจะลดอย่างเดียว แต่เอาเป็นตัวอย่างเพราะทุกคนรู้จักมันดี ใกล้ตัวคุณ และหาข้อมูลก่อนซื้อมือถือตลอด)


ถ้าผมเสนอขายIphone5ให้คุณ คุณจะเลือกแบบไหน  1:Iphone5ราคา10,000 2:Iphone5ราคา25,000 หรือ 3:ไม่ซื้อเลย ?

บ้าอ่ะสิ! คำตอบแรกที่ขึ้นมาในหัวสำหรับทุกๆคน เพราะถามมาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกข้อ1” ซื้อ Iphone5 ในราคาแสนถูกที่10,000บาท  เพราะอะไรจึงคิดเช่นนี้ นั้นก็เพราะพวกคุณทุกคนรู้มูลค่า(หรือราคาที่มันควรจะเป็น)”ของIphone5 ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดของApple ว่ามันจะต้องมีมูลค่าเกิน20,000บาทแน่ๆ ถ้าคุณซื้อมา10,000บาทจะสามารถนำไปขายต่อได้สบายๆที่20,000บาท กำไร100%


เห็นได้ชัดว่าในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนมีการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งมีอีกหลายๆตัวอย่างทีเห็นชัดเจนว่าคุณใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องราคา และความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เช่น การซื้อเสื้อผ้า, รถยนต์, และ บ้าน ยิ่งถ้ามีการจัดpromotionลดราคา คุณยิ่งอยากซื้อมากขึ้น  แต่ในทางกลับกันในโลกแห่งตลาดเงินอย่างเช่นตลาดหุ้น คุณกลับละเลยเหตุผลต่างๆ เมินของถูกซื้อของแพง ไม่คิดที่จะหาข้อมูลและใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ ทั้งๆที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าระยะยาวราคาและผลประกอบการจะสอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น มีหุ้น2ตัว A กับ B ถ้าในวันนี้ หุ้นAราคาเพิ่มไป7% และหุ้น B ราคาร่วงไป10% ถามว่าหุ้นตัวไหนน่าซื้อมากกว่ากัน? คุณสอบตกทันทีถ้าคุณเลือกหุ้นมาตัวหนึ่ง เพราะคำตอบก็คือบอกไม่ได้! เพราะข้อมูลที่ผมให้คุณไปคือสิ่งที่มีประโยชน์น้อยที่สุดในตลาดหุ้นนั้นก็คือราคา”  ซึ่งสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้มูลค่า”(เช่นในชีวิตจริงคุณรู้ว่าไอโฟน5ราคา20,000+,รถBMWมูลค่าหลักล้าน)  ดังนั้นผมจึงอยากให้ทุกๆท่านศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้ง ศึกษางบการเงินและธุรกิจของบริษัทที่คุณกำลังจะเลือกลงทุนบ้าง เพราะถ้าคุณทราบมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น จะทำให้การซื้อขายของคุณเป็นไปอย่างถูกต้อง เช่นหุ้นAมีมูลค่า7บาท แต่ซื้อขายกันอยู่ที่5บาทและในวันนี้ราคาขึ้นมา7%เป็น5.35บาท ซึ่งในกรณีนี้คุณก็ควรซื้อหุ้นตามไปเพราะราคาถูกนั้นเอง(หุ้นที่เห็นว่าราคาขึ้นมาเยอะแล้วแต่ราคาก็ยังไปต่ออีกก็เพราะเป็นแบบนี้ครับ)   อีกกรณีถ้าหุ้นBมีมูลค่า3บาทแต่ราคาซื้อขายที่5บาทและวันนี้ร่วงมา10%เป็น4.50บาท คุณก็ควรหลีกเลี่ยงตัวนี้เพราะมันแพง


ซึ่งสิ่งที่แปลกที่สุดในตลาดหุ้นนั้นก็คือเวลาที่หุ้นตัวหนึ่งราคาพุ่งขึ้นไปมากๆนั้นเช่นCPALL ราคาขึ้นไป42-43-44บาทกลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนมาซื้อทั้งๆที่ยิ่งราคาสูงความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้น (ลองนึกดู2วันก่อนIphoneราคา20k, เมื่อวาน30k, วันนี้ราคา 40k- ขอถามว่าคุณจะซื้อไหมIphoneที่ราคา40k?) ชีวิตจริงของยิ่งถูกยิ่งอยากซื้อ แต่ตลาดหุ้นของยิ่งแพงยิ่งน่าซื้อ แปลกแต่จริง!


สุดท้ายอยากเตือนทุกท่านเพราะ ช่วงนี้หุ้นหลายๆตัวขึ้นมาเกินมูลค่าที่แท้จริงอย่างมากมีหลายตัวที่งบการเงินธรรมดา(หรือเน่า) แต่ราคาดันขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับ”story”และคาดหวังผลกำไรสวยๆในอนาคต ส่วน หุ้นถูกยังมีแต่น้อยอยากได้ต้องขยันหา  โปรดใช้การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนในชีวิตจริงในการลงทุนครับ


(3)ตัวอย่างการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นโดยดูปัจจัยพื้นฐาน

หมายเหตุ:เขียนวันที่24/08/12 ราคา75บาท


หุ้นที่ไม่มีใครสนใจแต่งบและปันผลดีเกินคาด- THAI POLY ACRYLIC (TPA)  

Business Overview : เพื่อนๆอาจคาดไม่ถึงนะครับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้นั้นอยู่รอบๆตัวพวกเรา นั้นเอง^^ TPAทำการผลิตและจำหน่ายแผ่นพลาสติกอะคริลิค แผ่นเอบีเอส และแผ่นไฮอิมแพค ภายใต้ชื่อ "MODEN GLAS" บริษัทได้จำหน่ายต่อตัวแทนขายส่ง ขายปลีก และผู้ผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิเช่น งานป้ายโฆษณา งานแปรรูป ชิ้นงานประดับยนต์ งานตกแต่ง และ งานขึ้นรูปอ่างอาบน้ำและสุขภัณฑ์ เป็นต้น

รูปตัวอย่างของผลิตภัณฑ์

ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 3742
ขนาด:  17.0 กิโลไบต์
ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 3754
ขนาด:  12.5 กิโลไบต์

เห็นตัวอย่างกันแล้วนะครับ ซึ่งแผ่นพลาสติกอะคริลิคและแผ่นพลาสติกอื่นๆของTPAนั้นสามารถใช้ทดแทน กระจก ไม้ เหล็ก และอลูมิเนียมได้ซึ่งเป็นวัสดุจากธรรมชาติ ดังนั้นการใช้ทำให้TPAนั้นเป็นบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสอดคล้อง กับตลาดสีเขียวที่กำลังเติบโตอยู่ในทุกวันนี้

ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 3770
ขนาด:  63.2 กิโลไบต์


Financial and Fundamental Analysis
:
งบกำไรขาดทุนงวด6เดือน 2555 2554 (m=ล้านบาท)
รวมรายได้                  801M 844M
รวมค่าใช้จ่าย             713M 799M
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ 68M   32M
อัตรากำไรสุทธิ            8.5% 3.8%
เรื่องรายได้นั้น ถือว่าไม่ค่อยดีนักเพราะรายได้ลดลงนิดหน่อยถ้าเทียบกับปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นตัวนี้โดนเด่นคือ ต้นทุนที่ลดลงอย่างมหาศาล ลดลงไปประมาณ86ล้านบาท สาเหตุที่ต้นทุนลดลงเพราะว่ามีการบริหารต้นทุนทีมีประสิทธิภาพมากขึ้นและ ราคาวัตถุดิบลดลง ทำให้กำไรงวดครึ่งปี2555 โตประมาณ100%หรือเพิ่มขึ้น 36ล้านบาท
แล้ว2ไตรมาสหลังในปีนี้จะเป็นยังไง
?
ผมได้สำรวจเงินการเงินทุกไตรมาสตั้งแต่ปี2008-ปัจจุบันพบว่าโดยส่วนใหญ่ราย ได้จะพอๆกันทุกไตรมาสประมาณ (มีบางกรณีที่ห่วยไปเลยและดีไปเลย)  ดังนั้นในกรณีที่ครึ่งปีหลังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ กำไรคาดการณ์ปี2555คือ 120ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมากกว่ากำไรจากปีก่อนๆเกือบ2เท่าครับ(กำไรปี2554:66ล้านบาท ปี2553:51ล้านบาท ปี2552:61ล้านบาท) 

Target Price&P/E
ราคาปิดวันที่24/08/2555: 75บาท

จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท.: 12,150,000หุ้น


กำไรปี2554: 66.87ล้านบาท กำไรปี2555 1.outperform case: 120ล้านบาท 2.underperform case:100ล้านบาท


EPSปี2554: 5.5 EPSปี2555 1.outperform case: 9.88 2.underperform case: 8.23


P/Eปี2554:  ราคาสิ้นปี2554คือ60บาท  P/E=60/5.5= 10.9


คำนวณราคาสิ้นปี2555โดยใช้P/Eปี2554(10.9)


Outperform Case Scenario: สมมุติว่าเราใช้EPSปี2555ที่คาดการณ์ไว้(9.88) มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*9.88= 107บาท


Underperform Case Scenario: สมมุติว่ารายได้ทั้งปี2555ต่ำกว่าเป้า20% เหลือ 100ล้านบาท, EPSจะเท่ากับ 8.23 มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*8.23= 89บาท


Dividend Yield

TPAมีเงินปันผลทุกปีนะครับประมาณ6%-7.3% ส่วนปีนั้นปันผลไปแล้ว2รอบรวม6.50บาท ถ้าคิดจากราคาปัจจุบัน75บาทก็ประมาณ8.6%ครับจัดว่าเป็นหุ้นห่านทองคำได้ด้วย^^


(4)ทำไมหุ้นโรงพยาบาลถึงแพงเอาๆ? มีคำตอบโดย 5 Force Model

หมายเหตุ:เขียนไว้วันที่07/10/12
5 Force Model คืออะไร? -> http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=36254
ขอแสดงตัวอย่างวิธีการวิเคราะห์ธุรกิจโรงพยาบาลนะครับ เพื่อที่เพื่อนๆนักลงทุนจะได้เข้าใจเกี่ยวกับ 5 force modelมากยิ่งขึ้นและเข้าใจในธุรกิจโรงพยาบาลว่าทำไมหุ้นมันแพงเอาๆ

1: Threat of New Entrants ”LOW”- ถ้าคุณมีเงินพันล้านแล้วอยากเปิดโรงพยาบาลคุณสามารถเปิ
ดได้เลยไหม? คำตอบคือไม่ได้ นั้นเป็นเพราะว่าจะมีกฎระเบียบจากทางรัฐบาล ซึ่งอยู่ๆถ้าอยากเปิดคุณไม่สามารถเปิดได้ และการเปิดโรงพยาบาลนั้นต้องการบุคลากรที่มีคุณภาพหรือหมอนั้นเอง ซึ่งมีจำนวนอยู่น้อยยิ่งในต่างจัดหวังยิ่งไม่พอ ดังนั้นต้องบอกว่าธุรกิจนี้นั้นมีภัยคุกคามจากnew entrantsน้อยมากๆ นับเป็นข้อดีให้กับโรงพยาบาลต่างๆที่เปิดทำการอยู่แล้ว

2: Threat of Substitute Product ”LOW”- สินค้าทดแทนสำหรับโรงพยาบาล
ก็คือคลีนิคทั่วๆไปซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบบเฉพาะทางเช่นคลินิกหมอฟัน,คลินิคความงาม ซึ่งนับว่าไม่ส่งผลกับรายได้ของทางโรงพยาบาลมากนัก ถ้าเกิดคุณเป็นโรคต่างๆขึ้นมาคุณก็คงจะเลือกไปโรงพยาบาลมากกว่าที่มีเครื่องมือและหมอเฉพาะทางต่างๆมากมาย

3: Bargaining Power of Buyer ”LOW”- ลองนึกถึงเวลาคุณป่วยแล้วไป
โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายแต่ล่ะครั้งนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าคุณหมอสามารถวินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง ถ้าหมอวินิจฉัยได้หลายโรค สั่งให้เราไปX-RAYหรือMRI เราก็ต้องไปทำ และผลก็คือค่าใช้จ่ายที่แพงและคุณไม่สามารถต่อรองราคาได้ ถ้าหมอจ่ายยาให้เรา3ชนิดเราก็ต้องจ่ายทั้ง3ชนิด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ถ้าคุณป่วยคุณก็ต้องมารักษาหรือบางทีช่วงที่เศรษฐกิจแย่ๆคนจะเป็นโรคเครียดและสุขภาพจะแย่กว่าเดิม ส่งผลดีต่อรายได้ของโรงพยาบาล และธุรกิจนี้ถือว่าสามารถสร้างLoyalty Customerได้ง่าย เพราะเวลาคุณไปรักษาจะมีบันทึกการรักษาไว้ และหมอจะนัดคุณมาอีกในครั้งต่อๆไป ขอสรุปว่าในธุรกิจนี้นั้นลูกค้าแทบไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลดีกับโรงพยาบาลมาก

4: supplier power “Medium to High”- จุดนี้ค่อนข้างซับซ้อน ขอพูดถึง ยาและเครื่องมือทางการแพทย์
ก่อน ซึ่งถ้าบริษัทยาสามารถคิดค้นยาใหม่ๆได้และนำไปจดสิทธิบัตร จะถือว่าบริษัทยามีอำนาจในการต่อรองเหนือโรงพยาบาลและสามารถเรียกราคาแพงๆได้ถ้าตัวยานั้นๆมีประสิทธิภาพดีจริงๆและโรงพยาบาลไม่สามารถหาสินค้าทดแทนได้ ในทางกลับกันถ้าสิทธิบัตรหมดอายุ และบริษัทยาอื่นๆสามารถผลิตได้เช่นกัน โรงพยาบาลจะมีอำนาจในการต่อรองสูงกว่าบริษัทยาขึ้นมาทันที ต่อไปเกี่ยวกับเรื่องบุคลกร หรือ คุณหมอ ซึ่งทุกๆท่านน่าจะรู้กันดีว่าอาชีพนี้ได้เงินเดือนสูงมาก เพราะอะไร? เพราะจำนวนของหมอนั้นถือว่ามีน้อยอยู่ จึงทำให้มีอำนาจในการต่อรองเงินเดือนกับโรงพยาบาล ยิ่งถ้าเป็นหมอเก่งๆมีชื่อเสียง ที่สามารถเรียกลูกค้าเข้ามารักษาได้คิวยาวตลอดปี อำนาจในการต่อรองของโรงพยาบาลจะต่ำมากๆ จุดอ่อนเดียวของโรงพยาบาลก็คงเป็นเป็นเรื่องนี้

5: competitive rivalry “Low to Medium”- โดยส่วนใหญ่ใน1ชุมชนจะมีโรง
พยาบาลเปิดได้ที่เดียว ดังนั้นผู้คนในชุมชนนั้นๆจะไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าป่วยแบบฉุกเฉินจริงๆก็ต้องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่มีอยู่แห่งเดียวนั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นโดยส่วนใหญ่ทุกโรงพยาบาลจะมีการรักษาและราคาที่คล้ายๆกัน ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมากนัก ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่อง”price war”ในธุรกิจนี้ แต่การแข่งขันในธุรกิจนี้ในตัวเมืองอาจจะสูงกว่าในต่างจัดหวัด ซึ่งเป็นเพราะในตัวเมืองมีโรงพยาบาลหลายแห่งเปิดอยู่แต่ถ้าในต่างจัดหวัดบางที่จะมีโรงพยาบาลแห่งเดียวเท่านั้


SUMMARY
สรุปโดยรวมแล้วต้องบอกว่าเป
็นธุรกิจที่ดีถึงดีมากๆ โดยจุดอ่อนข้อเดียวคือข้อที่4เรื่องบุคลากร ซึ่งถ้าเปิดAECนั้นมีโอกาสที่หมอเก่งๆจากต่างประเทศจะย้ายเข้ามาทำให้แก้ปัญหาจุดนี้ได้ และประเทศไทยเรากำลังเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุที่จะมีโรคภัยต่างๆมากกว่าวัยหนุ่มและทำให้เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่าเดิม ดังนั้นหุ้นโรงพยาบาลนั้นเป็นทั่งDefensive&Growth Stockในตัวเดียวกันหมายความว่าdownsideจำกัดupsideในระยะยาวมีเยอะ ถ้าใครยังไม่มีอยู่ในพอร์ตลองหาซักตัวมาลงทุน เพราะวันนี้คุณเห็นว่าราคาแพง แต่วันหน้ามันอาจจะโคดแพง

(5)ตัวอย่างการหาหุ้นดีที่โลกลืม ในเวลาที่setขึ้นมาสูงสุดในรอบ16ปี 

หมายเหตุ:เขียนไว้วันที่25/10/12

เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ ผู้เขียนมีเจตนาเขียนเพื่อเป็นแนวทางการลงทุนอย่างหนึ่งและหวังว่าผู้อ่านจะ นำไปประยุกต์ใช้ลงทุนกับหุ้นตัวอื่นๆในอนาคต 

BROOK-เก็งงบQ3 2012 (งบออกเดือน11 เก็บหุ้นช่วงเดือน9-10)  

ขอสรุปรายระเอียดหลักๆอย่างเดียวนะครับว่าทำไมงบQ3จะออกมาดี  

      1.วันที่9 ก.ค.ออกข่าวได้รับค่าตอบแทนการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหุ้นGsteel        88,897,100 หุ้น

ชื่อ:  brook1.jpg
ครั้ง: 492
ขนาด:  22.4 กิโลไบต์
2.วันที่24 ก.ย.ออกข่าวได้รับค่าตอบแทนการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหุ้นGsteel 238,376,540 หุ้น

ชื่อ:  brook2.jpg
ครั้ง: 493
ขนาด:  21.8 กิโลไบต์

3.รวมแล้วได้หุ้นมาทั้งหมด 327,273,640 หุ้น ราคาปิดในไตรมาส3คือ.34 มูลค่าจะเท่ากับ327273640*.34=ประมาณ111ล้าน คาดว่าจะบันทึกไว้ในส่วนของรายได้

4.รายได้ประมาณ30-40%ของbrookมาจากหลักทรัพย์เพื่อค้าและเงินปันผล ซึ่งก็คิอตราสารหนี้และตราสารทุน หลักๆก็คือหุ้น ดูจากสถิติในอดีตความสามารถในการลงทุนของbrookต้องบอกว่าแย่ บางไตรมาสset sideway แต่ดันขาดทุนขากหลักทรัพย์เพื่อค้า แต่เนื่องจากQ3ปีนี้setขึ้นมาจาก1100ไปปิดที่1298 ในวันที่28/09/55(ปิดงบสวยมาก) มือใหม่เล่นหุ้นยังกำไรกันทุกคน ดังนั้นจึงมั่นใจbrookคงได้กำไรเช่นกัน แต่ไม่คิดแบบมองโลกในแง่ดี ประเมินว่าได้กำไรจากหลักทรัพย์เพื่อค้า 30ล้าน
ชื่อ:  brook4.jpg
ครั้ง: 496
ขนาด:  40.5 กิโลไบต์

5.รายได้จากการให้บริการ(การดำเนินงานหลัก) จุดนี้ไม่มีข้อมูลที่ใช้ประเมินได้และสถิติในอดีตไตรมาสหนึ่งบางทีได้15ล้าน บางที80ล้าน ดังนั้นขอมองโลกในแง่ร้ายคิดว่าไตรมาส3ได้ 20ล้าน

6.รวมรายคาดการณ์ได้ 161ล้าน

7.ต้นทุนปีนีQ1 36ล้าน Q2 31ล้าน ซึ่งหลักๆคือค่าใช้จ่ายในการบริหารเพราะเป็น บริษัทconsulting&investment ซึ่งเน้นhuman resource ดังนั้นต้นทุนพอๆกันทุกงวด Q3คิดเป็นค่าเฉลี่ยคือ33.5ล้าน

8 กำไรคาดการณ์Q3= 161-33.5=127.5M(ปีนี้brookกำไรไม่หักภาษีเพราะอะไรผมไม่ทราบครับ) กำไรครึ่งปีแรกQ1+Q2=145.17 รวม9เดือนกำไร272.67 เติบโตจากปีก่อนๆชัดเจน

ชื่อ:  profit.jpg
ครั้ง: 492
ขนาด:  41.0 กิโลไบต์

9 Q4ยังคงมีรายได้พิเศษ และตลาดหุ้นsideway คิดว่าdownsideจำกัด คิดแบบมองโลกแง่ร้ายq4กำไรโดยรวมประมาณ28ล้าน กำไรทั้งปี300ล้าน epsได้.40 ราคาช่วงเดือน10อยู่ที่ 2บาท P/E=2/.4=”5” การที่setมาถึง1300 หุ่นเน่าๆP/E50+ และหุ้นตัวหนึ่งทำกำไรได้นิวไฮ เหมาะสมแล้วหรือที่P/E=5 เห็นได้ชัดเจนว่าBrook Undervalueอยู่เยอะ

ชื่อ:  q4.jpg
ครั้ง: 493
ขนาด:  24.1 กิโลไบต์

10ถ้ามั่นใจว่าหุ้นupsideเยอะ downsideน้อย อัดwarrant แต่อย่าลงเงินเกิน30%ของพอร์ต(ความเห็นส่วนตัว)
ชื่อ:  brook.jpg
ครั้ง: 492
ขนาด:  4.4 กิโลไบต์

ความเสี่ยง
1.ธรรมาภิบาล ->http://www.ryt9.com/s/prg/1409287
2.ถ้าตลาดหุ้นร่วงหนักๆ10%+ Brookลงเช่นกัน
3.ไม่เหมาะถือข้ามปี เพราะกำไรไม่แน่นอน

เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์นะครับ ซึ่งข่าวทุกอย่างนั้นรายย่อยสามารถหาได้หมดไม่จำเป็นต้องพึ่งข่าววงใน และราคาแช่อยู่2บาทนานมาก ตัวwarrantก็วิ่งอยู่1.1-1.2 มีเวลาเก็บของทั้งเดือน ส่วน งบจริงๆเป็นเข่นไร ต้องรอดู

จากตัวอย่างนี้หวังว่าเพื่อนๆจะหันมาศึกษางบการเงินและธุรกิจกันนะครับ ในความเห็นผม ศึกษา-ซื้อ-ถือ ดีกว่าไปซื้อไล่ราคาครับ หุ้นที่under valueยังมีอยู่แน่นอน แต่น้อยมากขยันหาเข้าไว้ ถ้าเจอใครบอกหุ้นทุกตัวover valueหมดแล้ว ถามสวนกลับไป “คุณพูดแบบนี้อ่าน56-1และงบการเงิน ครบทุกตัว แล้วหรือยัง?”
 (6)ข้อมูลและการวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมี

ปิโตรเคมีคืออะไร?

ปิโตรเคมีคือการนำ ปิโตรเลียม(น้ำมันดิบ/ก๊าสธรรมชาติ)มาแปรสภาพโดยใช้ความร้อน,ความ ดัน,ปฏิกิริยาทางเคมี เพื่อเกิดสารตัวใหม่และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยที่ผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมีแบ่งเป็น3ขั้น ข้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย

ขั้นต้นคือการนำน้ำมันดิบมาแปรสภาพเป็น โอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์
ขั้นกลาง นำโอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์มาแปรสภาพต่อให้ขั้นปลาย
ขั้นปลาย นำผลิตภัณฑ์จากขึ้นต้นหรือขึ้นกลางมาแปรสภาพเป็น เม็ดพลาสติก, เส้นใยสังเคราะห์, ยางสังเคราะห์, ตัวทะละลาย เป็นต้น แล้วส่งต่อให้อุตสาหกรรมต่างๆเช่น กลุ่มยานยนต์,บรรจุภัณฑ์,และสิ่งทอ เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคืออะไร?

ลองหันดูรอบๆตัวคุณแล้วจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นอยู่ ใกล้ตัวคุณมาก!เช่น เสื้อผ้า,ถ้วย ชามพลาสติก,ขวดน้ำ,สี,ยาฆ่าแมลง,ปุ๋ยเคมี,ท่อน้ำ,ลูกฟุตบอล เรียกได้ว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเราเลย (คนเรานี้เก่งมากๆทำให้ปิโตรเลียมกลายมาเป็นถ้วย ชามพลาสติกได้!)

ชื่อ:  5(20).jpg
ครั้ง: 22
ขนาด:  43.3 กิโลไบต์



การวิเคราะห์


ธุรกิจปิโตรเคมีนั้นก็เหมือนกับธุรกิจน้ำมันที่เป็น”หุ้นวัฏจักร” ซึ่งจะต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน แต่ธุรกิจปิโตรเคมีจะต่างจากธุรกิจน้ำมันตรงที่ไม่ต้องมีสัมปทาน บริษัทสามารถเข้ามาได้ถ้าเล็งเห็นโอกาสในบางช่วง ดังนั้นเป็นธุรกิจที่การแข่งขันสูง มีผู้ผลิตอยู่ทั่วโลก ซึ่งบริษัทแข่งกันเรื่องต้นทุนและราคา และมักมีปัญหาเรื่อง oversupply

สิ่งที่ควรระวังสำหรับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่เป็นโรงกลั่นหรืออยู่ในขั้นต้น ก็คือราคาน้ำมันที่ผันผวนมากๆ ซึ่งจะทำให้เกิดStock Lossและ Stock Gain เราจะเห็นได้จากตัวอย่างในปี2555ของPTTGCใน Q2(Stock Loss) และ Q3 (Stock Gain)

ในกรณีที่ราคาน้ำมันตกโรงกลั่นจะเสียผลประโยชน์ แต่แน่นอนย่อมมีธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์เช่นกันซึ่งก็คืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง จากปิโตรเคมีเพราะต้นทุนจะถูกลง บริษัทต่างๆเช่น TPA,TPC,THIP,MBAX,TMW จะสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายเช่นเม็ดพลาสติกที่มีราคาถูกลงกว่า เดิมได้

คุณสามารถตรวจสอบราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้จาก -> http://www.tpia.org/stat/graphday.asp?chk=1

จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีนั้นค่อนข้างเสี่่ ยงและยุ่งยากเพราะเราจะต้องกังวลกับราคาน้ำมันที่คาดการณ์ไม่ได้และเรื่อง ของDemand Supplyของผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกด้วย

 

 (7)หุ้นถูก หุ้นแพง ดูอย่างไร

วิเคราะห์พื้นฐาน!  จำไว้เลยไม่สำคัญว่าในอดีตหุ้นเคยอยู๋ที่ราคาเท่าไรแต่สิ่งสำคัญคือมูลค่าในตอนนี้ของมันหุ้นหลายๆตัวอาจราคาเคยขึ้นไปสูงๆได้เพราะ"story"ทั้งๆที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากพอสุดท้ายผลประกอบการออกมากำไรไม่เปนไปตามที่หวังสุดท้ายราคาก็ร่วง สมุตติหุ้นตัวหนึ่งคาดหวังว่าผลประกอบการจะดีมากจนราคาพุ่งไป30บาท พองบออกไม่ดีตามที่คาดราคาร่วงมา23บาท แบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าถูกเพราะมูลค่าจริงๆอาจอยู่ที่20บาท แต่ไป30บาทได้เพราะคนมองโลกในแง่ดีกันมากเกินไป  และสำหรับหุ้นทั่วๆไปสามารถดูว่าถูก/แพงได้จากค่า"P/E"  แต่เราจะรู้P/Eที่เหมาะสมได้อย่างไร?
วิธีง่ายๆคือให้ เปรียบเทียบP/E และ constant growth rate

หุ้นที่P/E19 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 25% มันคือหุ้นถูก

หุ้นที่P/E7 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 5% มันคือหุ้นแพง

หุ้นที่P/E6 กำไรนิวไฮ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นิวไฮ มันอาจเป็นยอดดอย

หุ้นทีP/E50 เต็มไปด้วยข่าว อย่าไปยุ่ง

แล้วเราจะรู้การเติบโตในอนาคตได้ยังไง?

มันก็คือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในตัวธุรกิจนั้นๆ ซึ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน ลองอ่านหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากันดู เช่นตีแตก, รวยได้ด้วยหุ้น, หนังสือของpeter lynch, ตะแกร่งร่อนหุ้น เป็นต้น ให้ดีควรอ่านให้หมดในร้านหนังสือ แล้วนำมาapplyเป็นของตัวเราเอง

วิธีดูว่าp/eควรจะสูงหรือต่ำ

-มีหนี้สินเยอะ D/E Ratio หรือ Gearing Ratio สูงๆ p/eจะต่ำ
- ถ้าธุรกิจมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ p/eจะต่ำ
- มีลูกหนี้การค้าน้อย เจ้าหนี้การค้าเยอะ กระแสเงินสดดี p/e จะสูง
- งบในอดีต ดีต่อเนื่องทุกปี ต้นทุนไม่ผันผวนและสามารถขึ้นราคาขายได้ p/e จะสูง
- ใช้เงินลงทุนสูงในการขยายกิจการ p/e จะต่ำ

-ธุรกิจที่เติบโตโดยไม่ใช้เงินลงทุนมากนัก
- ดูการเติบโตหรือ constant annual growth rateสูง p/eจะสูงตามไปด้วย (PEG)
- สภาพตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
- หุ้นโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีกำไรพิเศษ, หุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ ใช้p/eไม่ได้
- ระมัดระวังในการใช้ p/e กับหุ้น turn around หรือ หุ้นที่มีกำไรโตแบบก้าวกระโดดใน1ปี

-ใช้ forward p/eในการคิด ไม่ต้องใช้trailing p/e, forward p/e- คือใช้กำไรคาดการณ์มาคำนวณ ,trailing p/e คือกำไร4ไตรมาสล่าสุดมาคำนวณ แบบในset.or.th

(8)สรุปสภาพเศรษฐกิจโลกปี2013 
เขียนวันที่19/02/12

• US-ปี2010อัตราการว่างงานของUSอยู่ที่10% มกราคม 2013อัตราการว่างงานประมาณ8% ใช่เวลาประมาณ3ปีลดลง2% ล่าสุดสหรัฐประกาศจะใช้QEจนกว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ที่6.5% ดูจากสถิติในอดีตคาดการณ์ว่าอย่างน้อยมีQEจนถึงกลางปี2014 (อัดฉีดเงินกันอีกเป็นปี)

• US-ความเสี่ยงทางการคลังของสหรัฐ วันที่1มีนาคม-Automatic Spending cuts(ลดค่าใช้จ่าย), 19May-Debt Ceiling Suspension expires(ต้องมาตกลงเรื่องเพดานหนี้กันใหม่)

• US-การค้นพบshale gasช่วยดึงให้ราคาพลังงานโลกอยู่ในระดับที่ต่ำและเงินเฟ้อจะเพิ่มในอัตราที่ช้า ส่งผลดีต่อการลงทุน และการนำเข้าพลังงานของUSจะลดลงและอาจกลายเป็นผู้ส่งออกใน10ปีข้างหน้า

• Europe,Japan,USมี QEกันหมด แล้วเงินจะไหลเข้าไปที่ไหน? ไหลเข้าASEANและตลาดเกิดใหม่! คาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าต่อเนื่องอีกเป็นปี

• Europe-นักวิเคราะห์เชื่อว่าสถานการณ์ผ่านจุดต่ำสุดไปเมื่อปลายปีที่แล้วโดยดูจากGDP, PMI (ความเห็นแอดมิน-ผมยังมองว่าเสี่ยงเหมือนเดิมเพราะช่วงนี้ฟังข่าวยังได้ยินอยู่เลยว่าบริษัทที่อยู่ในยุโรปต้องปลดพนักงาน เช่น ธนาคารดังอย่าง “บาร์เคลย์ และผู้ผลิตยานยนต์อย่างHonda ประกาศปลดพนักงาน)

• เศรษฐกิจจีน 2H56มีโอกาสชะลอตัวส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ในอนาคตคาดการณ์โตปีละ7-8%

• ไทย- คาดว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประมาณ2ล้านล้านบาท ในระยะเวลา7ปี เฉลี่ยปีละประมาณ3แสนล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่องทุกปีคาดว่าอย่างต่ำGDPโตเฉลี่ยปีละ5%

• ไทย-ระยะยาวมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้สาธารณะและหนี้ผู้บริโภค

• ไทย-หากเงินบาทมีค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ประมาณ29.5 GDPจะขยายได้4.8% แต่ถ้าแข็งค่าเป็น27.9GDPจะขยายได้แค่3% (ความเห็นแอดมิน-ช่วงนี้มีบางbrokerเชียร์หุ้นส่งออกเพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นฟู แต่ระวังปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเงินด้วยครับ ถ้าให้ดีลงทุนในสิ่งที่แน่นอนจะดีกว่าซึ่งก็คือปัจจัยในประเทศที่จะมีเงินลงทุนจากรัฐอย่างมหาศาลและการเจริญของชุมชนเมือง)

• ไทย-ปี2555 demandคอนกรีตและซีเมนต์สูงมากและมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องอีกหลายปีจากการก่อสร้าง

• ไทย- Forward P/Eปี2013ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 12.2 ยังต่ำกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างMalaysia,และPhilippines ส่วนDividend Yieldอยู่ที่3.7%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น