สารบัญ
1:ลิ้งบทวิเคราะห์พื้นฐาน (แนะนำ)
2:ขายIphone5 10,000บาท!- การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเรื่องราคาและมูลค่า (แนะนำ)
3:ตัวอย่างการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นTPAโดยดูปัยจัยพื้นฐาน
4:ตัวอย่างการิเคราะห์ธุรกิจโรงพยาบาลโดย5 Force Model (แนะนำ)
5:ตัวอย่างการหาหุ้นดีที่โลกลืม ในเวลาที่setขึ้นมาสูงสุดในรอบ16ปี
6:ข้อมูลและการวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมี
7:หุ้นถูก หุ้นแพงดูอย่างไร? และวิธีวัดค่าP/E (แนะนำ)
8:สรุปสภาพเศรษฐกิจโลกปี2013
(1)ลิ้งบทวิเคราะห์พื้นฐาน
เส้นทางชีวิตของเสี่ยยักษ์ เซียนหุ้นพันล้าน
แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดย ดร.นิเวศน์
การวิเคราะห์อุตสาหกรรม ผู้บริหารโดย อ.คเชนท
คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา by ลูกอิสาน
การบริหารเงินและพอร์ต
สรุปหนับสือ Beating the Street ของ Peter Lynch
เหตุการณ์สำคัญและแง่มุมต่างๆของ Warren Buffet
หุ้นวัฏจักร
ROE ROA P/E P/BV
Balance Sheet
อ่านงบการเงินเบื้องต้น
Free float คืออะไร และเอามาใช้ดูหุ้นยังไง
Warrantคืออะไร? และวิธีคำนวณ
วิธีดูแนวโน้มเศรษฐกิจแบบง่ายๆโดย PMI
เศรษฐศาสตร์และการลงทุน
(2)ขายIphone5 10,000บาท!- การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเรื่องราคาและมูลค่า
หมายเหตุ:เขียนไว้วันที่15/10/12, การเปรียบเทียบระหว่างหุ้นกับIphone5 เป็นตัวอย่างสมมุติเท่านั้นนะครับเพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพและเข้าใจสิ่งที่ผมอยากจะสื่อเรื่องที่คนเราจะมีการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเวลาซื้อของในโลกความจริงแต่กลับไม่มีเหตุผลและใช้อารมณ์เวลาซื้อหุ้น(ในความเป็นจริงมูลค่าiphoneจะลดอย่างเดียว แต่เอาเป็นตัวอย่างเพราะทุกคนรู้จักมันดี ใกล้ตัวคุณ และหาข้อมูลก่อนซื้อมือถือตลอด)
ถ้าผมเสนอขายIphone5ให้คุณ คุณจะเลือกแบบไหน 1:Iphone5ราคา10,000 2:Iphone5ราคา25,000 หรือ 3:ไม่ซื้อเลย ?
บ้าอ่ะสิ! คำตอบแรกที่ขึ้นมาในหัวสำหรับทุกๆคน เพราะถามมาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเลือก”ข้อ1” ซื้อ Iphone5 ในราคาแสนถูกที่10,000บาท เพราะอะไรจึงคิดเช่นนี้? นั้นก็เพราะพวกคุณทุกคน”รู้มูลค่า(หรือราคาที่มันควรจะเป็น)”ของIphone5 ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดของApple ว่ามันจะต้องมีมูลค่าเกิน20,000บาทแน่ๆ ถ้าคุณซื้อมา10,000บาทจะสามารถนำไปขายต่อได้สบายๆที่20,000บาท กำไร100%
เห็นได้ชัดว่าในโลกแห่งความเป็นจริงทุกคนมีการตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งมีอีกหลายๆตัวอย่างทีเห็นชัดเจนว่าคุณใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องราคา และความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เช่น การซื้อเสื้อผ้า, รถยนต์, และ บ้าน ยิ่งถ้ามีการจัดpromotionลดราคา คุณยิ่งอยากซื้อมากขึ้น แต่ในทางกลับกันในโลกแห่งตลาดเงินอย่างเช่นตลาดหุ้น คุณกลับละเลยเหตุผลต่างๆ เมินของถูกซื้อของแพง ไม่คิดที่จะหาข้อมูลและใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ ทั้งๆที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าระยะยาวราคาและผลประกอบการจะสอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น มีหุ้น2ตัว A กับ B ถ้าในวันนี้ หุ้นAราคาเพิ่มไป7% และหุ้น B ราคาร่วงไป10% ถามว่าหุ้นตัวไหนน่าซื้อมากกว่ากัน? คุณสอบตกทันทีถ้าคุณเลือกหุ้นมาตัวหนึ่ง เพราะคำตอบก็คือบอกไม่ได้! เพราะข้อมูลที่ผมให้คุณไปคือสิ่งที่มีประโยชน์น้อยที่สุดในตลาดหุ้นนั้นก็คือ”ราคา” ซึ่งสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้”มูลค่า”(เช่นในชีวิตจริงคุณรู้ว่าไอโฟน5ราคา20,000+,รถBMWมูลค่าหลักล้าน) ดังนั้นผมจึงอยากให้ทุกๆท่านศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนทุกครั้ง ศึกษางบการเงินและธุรกิจของบริษัทที่คุณกำลังจะเลือกลงทุนบ้าง เพราะถ้าคุณทราบมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น จะทำให้การซื้อขายของคุณเป็นไปอย่างถูกต้อง เช่นหุ้นAมีมูลค่า7บาท แต่ซื้อขายกันอยู่ที่5บาทและในวันนี้ราคาขึ้นมา7%เป็น5.35บาท ซึ่งในกรณีนี้คุณก็ควรซื้อหุ้นตามไปเพราะราคา”ถูก”นั้นเอง(หุ้นที่เห็นว่าราคาขึ้นมาเยอะแล้วแต่ราคาก็ยังไปต่ออีกก็เพราะเป็นแบบนี้ครับ) อีกกรณีถ้าหุ้นBมีมูลค่า3บาทแต่ราคาซื้อขายที่5บาทและวันนี้ร่วงมา10%เป็น4.50บาท คุณก็ควรหลีกเลี่ยงตัวนี้เพราะมัน”แพง”
ซึ่งสิ่งที่แปลกที่สุดในตลาดหุ้นนั้นก็คือเวลาที่หุ้นตัวหนึ่งราคาพุ่งขึ้นไปมากๆนั้นเช่นCPALL ราคาขึ้นไป42-43-44บาทกลับเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนมาซื้อทั้งๆที่ยิ่งราคาสูงความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้น (ลองนึกดู2วันก่อนIphoneราคา20k, เมื่อวาน30k, วันนี้ราคา 40k- ขอถามว่าคุณจะซื้อไหมIphoneที่ราคา40k?) ชีวิตจริงของยิ่งถูกยิ่งอยากซื้อ แต่ตลาดหุ้นของยิ่งแพงยิ่งน่าซื้อ แปลกแต่จริง!
สุดท้ายอยากเตือนทุกท่านเพราะ ช่วงนี้หุ้นหลายๆตัวขึ้นมาเกินมูลค่าที่แท้จริงอย่างมากมีหลายตัวที่งบการเงินธรรมดา(หรือเน่า) แต่ราคาดันขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับ”story”และคาดหวังผลกำไรสวยๆในอนาคต ส่วน หุ้นถูกยังมีแต่น้อยอยากได้ต้องขยันหา โปรดใช้การตัดสินใจที่เป็นเหตุเป็นผลเหมือนในชีวิตจริงในการลงทุนครับ
(3)ตัวอย่างการวิเคราะห์มูลค่าหุ้นโดยดูปัจจัยพื้นฐาน
หมายเหตุ:เขียนวันที่24/08/12 ราคา75บาท
หุ้นที่ไม่มีใครสนใจแต่งบและปันผลดีเกินคาด- THAI POLY ACRYLIC (TPA)
Business Overview
:
เพื่อนๆอาจคาดไม่ถึงนะครับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้นั้นอยู่รอบๆตัวพวกเรา
นั้นเอง^^ TPAทำการผลิตและจำหน่ายแผ่นพลาสติกอะคริลิค แผ่นเอบีเอส
และแผ่นไฮอิมแพค ภายใต้ชื่อ "MODEN GLAS"
บริษัทได้จำหน่ายต่อตัวแทนขายส่ง ขายปลีก และผู้ผลิตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
อาทิเช่น งานป้ายโฆษณา งานแปรรูป ชิ้นงานประดับยนต์ งานตกแต่ง และ
งานขึ้นรูปอ่างอาบน้ำและสุขภัณฑ์ เป็นต้น
รูปตัวอย่างของผลิตภัณฑ์
เห็นตัวอย่างกันแล้วนะครับ ซึ่งแผ่นพลาสติกอะคริลิคและแผ่นพลาสติกอื่นๆของTPAนั้นสามารถใช้ทดแทน กระจก ไม้ เหล็ก และอลูมิเนียมได้ซึ่งเป็นวัสดุจากธรรมชาติ ดังนั้นการใช้ทำให้TPAนั้นเป็นบริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสอดคล้อง กับตลาดสีเขียวที่กำลังเติบโตอยู่ในทุกวันนี้
Financial and Fundamental Analysis :
งบกำไรขาดทุนงวด6เดือน 2555 2554 (m=ล้านบาท)
รวมรายได้ 801M 844M
รวมค่าใช้จ่าย 713M 799M
กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ 68M 32M
อัตรากำไรสุทธิ 8.5% 3.8%
เรื่องรายได้นั้น ถือว่าไม่ค่อยดีนักเพราะรายได้ลดลงนิดหน่อยถ้าเทียบกับปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หุ้นตัวนี้โดนเด่นคือ ต้นทุนที่ลดลงอย่างมหาศาล ลดลงไปประมาณ86ล้านบาท สาเหตุที่ต้นทุนลดลงเพราะว่ามีการบริหารต้นทุนทีมีประสิทธิภาพมากขึ้นและ ราคาวัตถุดิบลดลง ทำให้กำไรงวดครึ่งปี2555 โตประมาณ100%หรือเพิ่มขึ้น 36ล้านบาท
แล้ว2ไตรมาสหลังในปีนี้จะเป็นยังไง ?
ผมได้สำรวจเงินการเงินทุกไตรมาสตั้งแต่ปี2008-ปัจจุบันพบว่าโดยส่วนใหญ่ราย ได้จะพอๆกันทุกไตรมาสประมาณ (มีบางกรณีที่ห่วยไปเลยและดีไปเลย) ดังนั้นในกรณีที่ครึ่งปีหลังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ กำไรคาดการณ์ปี2555คือ 120ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมากกว่ากำไรจากปีก่อนๆเกือบ2เท่าครับ(กำไรปี2554:66ล้านบาท ปี2553:51ล้านบาท ปี2552:61ล้านบาท)
Target Price&P/E
ราคาปิดวันที่24/08/2555: 75บาท
จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท.: 12,150,000หุ้น
กำไรปี2554: 66.87ล้านบาท กำไรปี2555 1.outperform case: 120ล้านบาท 2.underperform case:100ล้านบาท
EPSปี2554: 5.5 EPSปี2555 1.outperform case: 9.88 2.underperform case: 8.23
P/Eปี2554: ราคาสิ้นปี2554คือ60บาท P/E=60/5.5= 10.9
คำนวณราคาสิ้นปี2555โดยใช้P/Eปี2554(10.9)
Outperform Case Scenario: สมมุติว่าเราใช้EPSปี2555ที่คาดการณ์ไว้(9.88) มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*9.88= 107บาท
Underperform Case Scenario: สมมุติว่ารายได้ทั้งปี2555ต่ำกว่าเป้า20% เหลือ 100ล้านบาท, EPSจะเท่ากับ 8.23 มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*8.23= 89บาท
Dividend Yield
TPAมีเงินปันผลทุกปีนะครับประมาณ6%-7.3% ส่วนปีนั้นปันผลไปแล้ว2รอบรวม6.50บาท ถ้าคิดจากราคาปัจจุบัน75บาทก็ประมาณ8.6%ครับจัดว่าเป็นหุ้นห่านทองคำได้ด้วย^^
ราคาปิดวันที่24/08/2555: 75บาท
จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท.: 12,150,000หุ้น
กำไรปี2554: 66.87ล้านบาท กำไรปี2555 1.outperform case: 120ล้านบาท 2.underperform case:100ล้านบาท
EPSปี2554: 5.5 EPSปี2555 1.outperform case: 9.88 2.underperform case: 8.23
P/Eปี2554: ราคาสิ้นปี2554คือ60บาท P/E=60/5.5= 10.9
คำนวณราคาสิ้นปี2555โดยใช้P/Eปี2554(10.9)
Outperform Case Scenario: สมมุติว่าเราใช้EPSปี2555ที่คาดการณ์ไว้(9.88) มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*9.88= 107บาท
Underperform Case Scenario: สมมุติว่ารายได้ทั้งปี2555ต่ำกว่าเป้า20% เหลือ 100ล้านบาท, EPSจะเท่ากับ 8.23 มาคำนวณกับค่าP/Eปี2554(10.9) เพื่อหา Target Price จะได้เท่ากับ P=10.9*8.23= 89บาท
Dividend Yield
TPAมีเงินปันผลทุกปีนะครับประมาณ6%-7.3% ส่วนปีนั้นปันผลไปแล้ว2รอบรวม6.50บาท ถ้าคิดจากราคาปัจจุบัน75บาทก็ประมาณ8.6%ครับจัดว่าเป็นหุ้นห่านทองคำได้ด้วย^^
(4)ทำไมหุ้นโรงพยาบาลถึงแพงเอาๆ? มีคำตอบโดย 5 Force Model
5 Force Model คืออะไร? -> http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=36254
ขอแสดงตัวอ ย่างวิธีการวิเคราะห์ธุรกิจ โรงพยาบาลนะครับ เพื่อที่เพื่อนๆนักลงทุนจะไ ด้เข้าใจเกี่ยวกับ 5 force modelมากยิ่งขึ้นและเข้าใจใ นธุรกิจโรงพยาบาลว่าทำไมหุ้ นมันแพงเอาๆ
1: Threat of New Entrants ”LOW”- ถ้าคุณมีเงินพันล้านแล้วอยากเปิดโรงพยาบาลคุณสามารถเปิ ดได้เลยไหม? คำตอบคือไม่ได้ นั้นเป็นเพราะว่าจะมีกฎระเบ ียบจากทางรัฐบาล ซึ่งอยู่ๆถ้าอยากเปิดคุณไม่ สามารถเปิดได้ และการเปิดโรงพยาบาลนั้นต้อ งการบุคลากรที่มีคุณภาพหรือ หมอนั้นเอง ซึ่งมีจำนวนอยู่น้อยยิ่งในต ่างจัดหวังยิ่งไม่พอ ดังนั้นต้องบอกว่าธุรกิจนี้ นั้นมีภัยคุกคามจากnew entrantsน้อยมากๆ นับเป็นข้อดีให้กับโรงพยาบา ลต่างๆที่เปิดทำการอยู่แล้ว
2: Threat of Substitute Product ”LOW”- สินค้าทดแทนสำหรับโรงพยาบาล ก็คือคลีนิคทั่วๆไปซึ่งส่วน ใหญ่จะเป็นแบบเฉพาะทางเช่นค ลินิกหมอฟัน,คลินิคความงาม ซึ่งนับว่าไม่ส่งผลกับรายได ้ของทางโรงพยาบาลมากนัก ถ้าเกิดคุณเป็นโรคต่างๆขึ้น มาคุณก็คงจะเลือกไปโรงพยาบา ลมากกว่าที่มีเครื่องมือและ หมอเฉพาะทางต่างๆมากมาย
3: Bargaining Power of Buyer ”LOW”- ลองนึกถึงเวลาคุณป่วยแล้วไป โรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายแต่ล่ะครั้งนั้นจ ะขึ้นอยู่กับว่าคุณหมอสามาร ถวินิจฉัยโรคอะไรได้บ้าง ถ้าหมอวินิจฉัยได้หลายโรค สั่งให้เราไปX-RAYหรือMRI เราก็ต้องไปทำ และผลก็คือค่าใช้จ่ายที่แพง และคุณไม่สามารถต่อรองราคาไ ด้ ถ้าหมอจ่ายยาให้เรา3ชนิดเรา ก็ต้องจ่ายทั้ง3ชนิด ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเศรษฐก ิจจะดีหรือแย่ ถ้าคุณป่วยคุณก็ต้องมารักษา หรือบางทีช่วงที่เศรษฐกิจแย ่ๆคนจะเป็นโรคเครียดและสุขภ าพจะแย่กว่าเดิม ส่งผลดีต่อรายได้ของโรงพยาบ าล และธุรกิจนี้ถือว่าสามารถสร ้างLoyalty Customerได้ง่าย เพราะเวลาคุณไปรักษาจะมีบัน ทึกการรักษาไว้ และหมอจะนัดคุณมาอีกในครั้ง ต่อๆไป ขอสรุปว่าในธุรกิจนี้นั้นลู กค้าแทบไม่มีอำนาจในการต่อร องใดๆทั้งสิ้น ซึ่งส่งผลดีกับโรงพยาบาลมาก
4: supplier power “Medium to High”- จุดนี้ค่อนข้างซับซ้อน ขอพูดถึง ยาและเครื่องมือทางการแพทย์ ก่อน ซึ่งถ้าบริษัทยาสามารถคิดค้ นยาใหม่ๆได้และนำไปจดสิทธิบ ัตร จะถือว่าบริษัทยามีอำนาจในก ารต่อรองเหนือโรงพยาบาลและส ามารถเรียกราคาแพงๆได้ถ้าตั วยานั้นๆมีประสิทธิภาพดีจริ งๆและโรงพยาบาลไม่สามารถหาส ินค้าทดแทนได้ ในทางกลับกันถ้าสิทธิบัตรหม ดอายุ และบริษัทยาอื่นๆสามารถผลิต ได้เช่นกัน โรงพยาบาลจะมีอำนาจในการต่อ รองสูงกว่าบริษัทยาขึ้นมาทั นที ต่อไปเกี่ยวกับเรื่องบุคลกร หรือ คุณหมอ ซึ่งทุกๆท่านน่าจะรู้กันดีว ่าอาชีพนี้ได้เงินเดือนสูงม าก เพราะอะไร? เพราะจำนวนของหมอนั้นถือว่า มีน้อยอยู่ จึงทำให้มีอำนาจในการต่อรอง เงินเดือนกับโรงพยาบาล ยิ่งถ้าเป็นหมอเก่งๆมีชื่อเ สียง ที่สามารถเรียกลูกค้าเข้ามา รักษาได้คิวยาวตลอดปี อำนาจในการต่อรองของโรงพยาบ าลจะต่ำมากๆ จุดอ่อนเดียวของโรงพยาบาลก็ คงเป็นเป็นเรื่องนี้
5: competitive rivalry “Low to Medium”- โดยส่วนใหญ่ใน1ชุมชนจะมีโรง พยาบาลเปิดได้ที่เดียว ดังนั้นผู้คนในชุมชนนั้นๆจะ ไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าป่วยแบบฉุกเฉินจริงๆก็ต้ องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ที่มีอยู่แห่งเดียวนั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นโดยส่วนใหญ่ท ุกโรงพยาบาลจะมีการรักษาและ ราคาที่คล้ายๆกัน ไม่ค่อยมีความแตกต่างกันมาก นัก ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่อง ”price war”ในธุรกิจนี้ แต่การแข่งขันในธุรกิจนี้ใน ตัวเมืองอาจจะสูงกว่าในต่าง จัดหวัด ซึ่งเป็นเพราะในตัวเมืองมีโ รงพยาบาลหลายแห่งเปิดอยู่แต ่ถ้าในต่างจัดหวัดบางที่จะม ีโรงพยาบาลแห่งเดียวเท่านั้ น
SUMMARY
สรุปโดยรวมแล้วต้องบอกว่าเป ็นธุรกิจที่ดีถึงดีมากๆ โดยจุดอ่อนข้อเดียวคือข้อที ่4เรื่องบุคลากร ซึ่งถ้าเปิดAECนั้นมีโอกาสท ี่หมอเก่งๆจากต่างประเทศจะย ้ายเข้ามาทำให้แก้ปัญหาจุดน ี้ได้ และประเทศไทยเรากำลังเข้าสู ่ช่วงสังคมผู้สูงอายุที่จะม ีโรคภัยต่างๆมากกว่าวัยหนุ่ มและทำให้เข้าโรงพยาบาลบ่อย กว่าเดิม ดังนั้นหุ้นโรงพยาบาลนั้นเป ็นทั่งDefensive&Growth Stockในตัวเดียวกันหมายความ ว่าdownsideจำกัดupsideในระ ยะยาวมีเยอะ ถ้าใครยังไม่มีอยู่ในพอร์ตล องหาซักตัวมาลงทุน เพราะวันนี้คุณเห็นว่าราคาแ พง แต่วันหน้ามันอาจจะโคดแพง
ปิโตรเคมีคืออะไร?
ปิโตรเคมีคือการนำ ปิโตรเลียม(น้ำมันดิบ/ก๊าสธรรมชาติ)มาแปรสภาพโดยใช้ความร้อน,ความ ดัน,ปฏิกิริยาทางเคมี เพื่อเกิดสารตัวใหม่และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยที่ผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมีแบ่งเป็น3ขั้น ข้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย
ขั้นต้นคือการนำน้ำมันดิบมาแปรสภาพเป็น โอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์
ขั้นกลาง นำโอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์มาแปรสภาพต่อให้ขั้นปลาย
ขั้นปลาย นำผลิตภัณฑ์จากขึ้นต้นหรือขึ้นกลางมาแปรสภาพเป็น เม็ดพลาสติก, เส้นใยสังเคราะห์, ยางสังเคราะห์, ตัวทะละลาย เป็นต้น แล้วส่งต่อให้อุตสาหกรรมต่างๆเช่น กลุ่มยานยนต์,บรรจุภัณฑ์,และสิ่งทอ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคืออะไร?
ลองหันดูรอบๆตัวคุณแล้วจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นอยู่ ใกล้ตัวคุณมาก!เช่น เสื้อผ้า,ถ้วย ชามพลาสติก,ขวดน้ำ,สี,ยาฆ่าแมลง,ปุ๋ยเคมี,ท่อน้ำ,ลูกฟุตบอล เรียกได้ว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเราเลย (คนเรานี้เก่งมากๆทำให้ปิโตรเลียมกลายมาเป็นถ้วย ชามพลาสติกได้!)
การวิเคราะห์
ธุรกิจปิโตรเคมีนั้นก็เหมือนกับธุรกิจน้ำมันที่เป็น”หุ้นวัฏจักร” ซึ่งจะต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน แต่ธุรกิจปิโตรเคมีจะต่างจากธุรกิจน้ำมันตรงที่ไม่ต้องมีสัมปทาน บริษัทสามารถเข้ามาได้ถ้าเล็งเห็นโอกาสในบางช่วง ดังนั้นเป็นธุรกิจที่การแข่งขันสูง มีผู้ผลิตอยู่ทั่วโลก ซึ่งบริษัทแข่งกันเรื่องต้นทุนและราคา และมักมีปัญหาเรื่อง oversupply
สิ่งที่ควรระวังสำหรับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่เป็นโรงกลั่นหรืออยู่ในขั้นต้น ก็คือราคาน้ำมันที่ผันผวนมากๆ ซึ่งจะทำให้เกิดStock Lossและ Stock Gain เราจะเห็นได้จากตัวอย่างในปี2555ของPTTGCใน Q2(Stock Loss) และ Q3 (Stock Gain)
ในกรณีที่ราคาน้ำมันตกโรงกลั่นจะเสียผลประโยชน์ แต่แน่นอนย่อมมีธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์เช่นกันซึ่งก็คืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง จากปิโตรเคมีเพราะต้นทุนจะถูกลง บริษัทต่างๆเช่น TPA,TPC,THIP,MBAX,TMW จะสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายเช่นเม็ดพลาสติกที่มีราคาถูกลงกว่า เดิมได้
คุณสามารถตรวจสอบราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้จาก -> http://www.tpia.org/stat/graphday.asp?chk=1
จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีนั้นค่อนข้างเสี่่ ยงและยุ่งยากเพราะเราจะต้องกังวลกับราคาน้ำมันที่คาดการณ์ไม่ได้และเรื่อง ของDemand Supplyของผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกด้วย
(7)หุ้นถูก หุ้นแพง ดูอย่างไร
วิเคราะห์พื้นฐาน! จำไว้เลยไม่สำคัญว่าในอดีตหุ้นเคยอยู๋ที่ราคาเท่าไรแต่สิ่งสำคัญคือมูลค่าในตอนนี้ของมันหุ้นหลายๆตัวอาจราคาเคยขึ้นไปสูงๆได้เพราะ"story"ทั้งๆที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากพอสุดท้ายผลประกอบการออกมากำไรไม่เปนไปตามที่หวังสุดท้ายราคาก็ร่วง สมุตติหุ้นตัวหนึ่งคาดหวังว่าผลประกอบการจะดีมากจนราคาพุ่งไป30บาท พองบออกไม่ดีตามที่คาดราคาร่วงมา23บาท แบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าถูกเพราะมูลค่าจริงๆอาจอยู่ที่20บาท แต่ไป30บาทได้เพราะคนมองโลกในแง่ดีกันมากเกินไป และสำหรับหุ้นทั่วๆไปสามารถดูว่าถูก/แพงได้จากค่า"P/E" แต่เราจะรู้P/Eที่เหมาะสมได้อย่างไร?
วิธีง่ายๆคือให้ เปรียบเทียบP/E และ constant growth rate
หุ้นที่P/E19 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 25% มันคือหุ้นถูก
หุ้นที่P/E7 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 5% มันคือหุ้นแพง
หุ้นที่P/E6 กำไรนิวไฮ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นิวไฮ มันอาจเป็นยอดดอย
หุ้นทีP/E50 เต็มไปด้วยข่าว อย่าไปยุ่ง
แล้วเราจะรู้การเติบโตในอนาคตได้ยังไง?
มันก็คือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในตัวธุรกิจนั้นๆ ซึ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน ลองอ่านหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากันดู เช่นตีแตก, รวยได้ด้วยหุ้น, หนังสือของpeter lynch, ตะแกร่งร่อนหุ้น เป็นต้น ให้ดีควรอ่านให้หมดในร้านหนังสือ แล้วนำมาapplyเป็นของตัวเราเอง
วิธีดูว่าp/eควรจะสูงหรือต่ำ
-มีหนี้สินเยอะ D/E Ratio หรือ Gearing Ratio สูงๆ p/eจะต่ำ
- ถ้าธุรกิจมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่ างที่ควบคุมไม่ได้ p/eจะต่ำ
- มีลูกหนี้การค้าน้อย เจ้าหนี้การค้าเยอะ กระแสเงินสดดี p/e จะสูง
- งบในอดีต ดีต่อเนื่องทุกปี ต้นทุนไม่ผันผวนและสามารถขึ้นรา คาขายได้ p/e จะสูง
- ใช้เงินลงทุนสูงในการขยายกิจการ p/e จะต่ำ
-ธุรกิจที่เติบโตโดยไม่ใช้เงินลงทุนมากนัก
- ดูการเติบโตหรือ constant annual growth rateสูง p/eจะสูงตามไปด้วย (PEG)
- สภาพตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
- หุ้นโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีกำไรพิเศษ, หุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ ใช้p/eไม่ได้
- ระมัดระวังในการใช้ p/ e กับหุ้น turn around หรือ หุ้นที่มีกำไรโตแบบก้าวกระโดดใน1ปี
-ใช้ forward p/eในการคิด ไม่ต้องใช้trailing p/e, forward p/e- คือใช้กำไรคาดการณ์มาคำนวณ ,trailing p/e คือกำไร4ไตรมาสล่าสุดมาคำนวณ แบบในset.or.th
(8)สรุปสภาพเศรษฐกิจโลกปี2013
เขียนวันที่19/02/12
• US-ปี2010อัตราการว่างงานของUSอ ยู่ที่10% มกราคม 2013อัตราการว่างงานประมาณ8% ใช่เวลาประมาณ3ปีลดลง2% ล่าสุดสหรัฐประกาศจะใช้QEจนกว่า อัตราการว่างงานจะอยู่ที่6.5% ดูจากสถิติในอดีตคาดการณ์ว่าอย่ างน้อยมีQEจนถึงกลางปี2014 (อัดฉีดเงินกันอีกเป็นปี)
• US-ความเสี่ยงทางการคลังของสหรั ฐ วันที่1มีนาคม-Automatic Spending cuts(ลดค่าใช้จ่าย), 19May-Debt Ceiling Suspension expires(ต้องมาตกลงเรื่องเพดานห นี้กันใหม่)
• US-การค้นพบshale gasช่วยดึงให้ราคาพลังงานโลกอยู ่ในระดับที่ต่ำและเงินเฟ้อจะเพิ ่มในอัตราที่ช้า ส่งผลดีต่อการลงทุน และการนำเข้าพลังงานของUSจะลดลง และอาจกลายเป็นผู้ส่งออกใน10ปีข ้างหน้า
• Europe,Japan,USมี QEกันหมด แล้วเงินจะไหลเข้าไปที่ไหน? ไหลเข้าASEANและตลาดเกิดใหม่! คาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าต่อเนื่อ งอีกเป็นปี
• Europe-นักวิเคราะห์เชื่อว่าสถา นการณ์ผ่านจุดต่ำสุดไปเมื่อปลาย ปีที่แล้วโดยดูจากGDP, PMI (ความเห็นแอดมิน-ผมยังมองว่าเสี ่ยงเหมือนเดิมเพราะช่วงนี้ฟังข่ าวยังได้ยินอยู่เลยว่าบริษัทที่ อยู่ในยุโรปต้องปลดพนักงาน เช่น ธนาคารดังอย่าง “บาร์เคลย์ และผู้ผลิตยานยนต์อย่างHonda ประกาศปลดพนักงาน)
• เศรษฐกิจจีน 2H56มีโอกาสชะลอตัวส่งผลต่อเศรษ ฐกิจโลก ในอนาคตคาดการณ์โตปีละ7-8%
• ไทย- คาดว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐา นประมาณ2ล้านล้านบาท ในระยะเวลา7ปี เฉลี่ยปีละประมาณ3แสนล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่องทุกปีค าดว่าอย่างต่ำGDPโตเฉลี่ยปีละ5%
• ไทย-ระยะยาวมีปัจจัยเสี่ยงจากหน ี้สาธารณะและหนี้ผู้บริโภค
• ไทย-หากเงินบาทมีค่าเฉลี่ยทั้งป ีที่ประมาณ29.5 GDPจะขยายได้4.8% แต่ถ้าแข็งค่าเป็น27.9GDPจะขยาย ได้แค่3% (ความเห็นแอดมิน-ช่วงนี้มีบางbr okerเชียร์หุ้นส่งออกเพราะเศรษฐ กิจโลกเริ่มฟื้นฟู แต่ระวังปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเ งินด้วยครับ ถ้าให้ดีลงทุนในสิ่งที่แน่นอนจะ ดีกว่าซึ่งก็คือปัจจัยในประเทศท ี่จะมีเงินลงทุนจากรัฐอย่างมหาศ าลและการเจริญของชุมชนเมือง)
• ไทย-ปี2555 demandคอนกรีตและซีเมนต์สูงมากแ ละมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องอีกหลาย ปีจากการก่อสร้าง
• ไทย- Forward P/ Eปี2013ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 12.2 ยังต่ำกว่าตลาดเพื่อนบ้านอย่างM alaysia,และPhilippines ส่วนDividend Yieldอยู่ที่3.7%
1: Threat of New Entrants ”LOW”- ถ้าคุณมีเงินพันล้านแล้วอยากเปิดโรงพยาบาลคุณสามารถเปิ
2: Threat of Substitute Product ”LOW”- สินค้าทดแทนสำหรับโรงพยาบาล
3: Bargaining Power of Buyer ”LOW”- ลองนึกถึงเวลาคุณป่วยแล้วไป
4: supplier power “Medium to High”- จุดนี้ค่อนข้างซับซ้อน ขอพูดถึง ยาและเครื่องมือทางการแพทย์
5: competitive rivalry “Low to Medium”- โดยส่วนใหญ่ใน1ชุมชนจะมีโรง
SUMMARY
สรุปโดยรวมแล้วต้องบอกว่าเป
(5)ตัวอย่างการหาหุ้นดีที่โลกลืม ในเวลาที่setขึ้นมาสูงสุดในรอบ16ปี
หมายเหตุ:เขียนไว้วันที่25/10/12
เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ ผู้เขียนมีเจตนาเขียนเพื่อเป็นแนวทางการลงทุนอย่างหนึ่งและหวังว่าผู้อ่านจะ นำไปประยุกต์ใช้ลงทุนกับหุ้นตัวอื่นๆในอนาคต
BROOK-เก็งงบQ3 2012 (งบออกเดือน11 เก็บหุ้นช่วงเดือน9-10)
ขอสรุปรายระเอียดหลักๆอย่างเดียวนะครับว่าทำไมงบQ3จะออกมาดี
1.วันที่9 ก.ค.ออกข่าวได้รับค่าตอบแทนการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหุ้นGsteel 88,897,100 หุ้น
2.วันที่24 ก.ย.ออกข่าวได้รับค่าตอบแทนการให้คำปรึกษาการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหุ้นGsteel 238,376,540 หุ้น(6)ข้อมูลและการวิเคราะห์กลุ่มปิโตรเคมี
3.รวมแล้วได้หุ้นมาทั้งหมด 327,273,640 หุ้น ราคาปิดในไตรมาส3คือ.34 มูลค่าจะเท่ากับ327273640*.34=ประมาณ111ล้าน คาดว่าจะบันทึกไว้ในส่วนของรายได้
4.รายได้ประมาณ30-40%ของbrookมาจากหลักทรัพย์เพื่อค้าและเงินปันผล ซึ่งก็คิอตราสารหนี้และตราสารทุน หลักๆก็คือหุ้น ดูจากสถิติในอดีตความสามารถในการลงทุนของbrookต้องบอกว่าแย่ บางไตรมาสset sideway แต่ดันขาดทุนขากหลักทรัพย์เพื่อค้า แต่เนื่องจากQ3ปีนี้setขึ้นมาจาก1100ไปปิดที่1298 ในวันที่28/09/55(ปิดงบสวยมาก) มือใหม่เล่นหุ้นยังกำไรกันทุกคน ดังนั้นจึงมั่นใจbrookคงได้กำไรเช่นกัน แต่ไม่คิดแบบมองโลกในแง่ดี ประเมินว่าได้กำไรจากหลักทรัพย์เพื่อค้า 30ล้าน
5.รายได้จากการให้บริการ(การดำเนินงานหลัก) จุดนี้ไม่มีข้อมูลที่ใช้ประเมินได้และสถิติในอดีตไตรมาสหนึ่งบางทีได้15ล้าน บางที80ล้าน ดังนั้นขอมองโลกในแง่ร้ายคิดว่าไตรมาส3ได้ 20ล้าน
6.รวมรายคาดการณ์ได้ 161ล้าน
7.ต้นทุนปีนีQ1 36ล้าน Q2 31ล้าน ซึ่งหลักๆคือค่าใช้จ่ายในการบริหารเพราะเป็น บริษัทconsulting&investment ซึ่งเน้นhuman resource ดังนั้นต้นทุนพอๆกันทุกงวด Q3คิดเป็นค่าเฉลี่ยคือ33.5ล้าน
8 กำไรคาดการณ์Q3= 161-33.5=127.5M(ปีนี้brookกำไรไม่หักภาษีเพราะอะไรผมไม่ทราบครับ) กำไรครึ่งปีแรกQ1+Q2=145.17 รวม9เดือนกำไร272.67 เติบโตจากปีก่อนๆชัดเจน
9 Q4ยังคงมีรายได้พิเศษ และตลาดหุ้นsideway คิดว่าdownsideจำกัด คิดแบบมองโลกแง่ร้ายq4กำไรโดยรวมประมาณ28ล้าน กำไรทั้งปี300ล้าน epsได้.40 ราคาช่วงเดือน10อยู่ที่ 2บาท P/E=2/.4=”5” การที่setมาถึง1300 หุ่นเน่าๆP/E50+ และหุ้นตัวหนึ่งทำกำไรได้นิวไฮ เหมาะสมแล้วหรือที่P/E=5 เห็นได้ชัดเจนว่าBrook Undervalueอยู่เยอะ
10ถ้ามั่นใจว่าหุ้นupsideเยอะ downsideน้อย อัดwarrant แต่อย่าลงเงินเกิน30%ของพอร์ต(ความเห็นส่วนตัว)
ความเสี่ยง
1.ธรรมาภิบาล ->http://www.ryt9.com/s/prg/1409287
2.ถ้าตลาดหุ้นร่วงหนักๆ10%+ Brookลงเช่นกัน
3.ไม่เหมาะถือข้ามปี เพราะกำไรไม่แน่นอน
เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์นะครับ ซึ่งข่าวทุกอย่างนั้นรายย่อยสามารถหาได้หมดไม่จำเป็นต้องพึ่งข่าววงใน และราคาแช่อยู่2บาทนานมาก ตัวwarrantก็วิ่งอยู่1.1-1.2 มีเวลาเก็บของทั้งเดือน ส่วน งบจริงๆเป็นเข่นไร ต้องรอดู
จากตัวอย่างนี้หวังว่าเพื่อนๆจะหันมาศึกษางบการเงินและธุรกิจกันนะครับ ในความเห็นผม ศึกษา-ซื้อ-ถือ ดีกว่าไปซื้อไล่ราคาครับ หุ้นที่under valueยังมีอยู่แน่นอน แต่น้อยมากขยันหาเข้าไว้ ถ้าเจอใครบอกหุ้นทุกตัวover valueหมดแล้ว ถามสวนกลับไป “คุณพูดแบบนี้อ่าน56-1และงบการเงิน ครบทุกตัว แล้วหรือยัง?”
ปิโตรเคมีคืออะไร?
ปิโตรเคมีคือการนำ ปิโตรเลียม(น้ำมันดิบ/ก๊าสธรรมชาติ)มาแปรสภาพโดยใช้ความร้อน,ความ ดัน,ปฏิกิริยาทางเคมี เพื่อเกิดสารตัวใหม่และนำมาใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยที่ผลิตภัณฑ์ของปิโตรเคมีแบ่งเป็น3ขั้น ข้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย
ขั้นต้นคือการนำน้ำมันดิบมาแปรสภาพเป็น โอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์
ขั้นกลาง นำโอเลฟินส์ และ อะโรเมติกส์มาแปรสภาพต่อให้ขั้นปลาย
ขั้นปลาย นำผลิตภัณฑ์จากขึ้นต้นหรือขึ้นกลางมาแปรสภาพเป็น เม็ดพลาสติก, เส้นใยสังเคราะห์, ยางสังเคราะห์, ตัวทะละลาย เป็นต้น แล้วส่งต่อให้อุตสาหกรรมต่างๆเช่น กลุ่มยานยนต์,บรรจุภัณฑ์,และสิ่งทอ เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีคืออะไร?
ลองหันดูรอบๆตัวคุณแล้วจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้นอยู่ ใกล้ตัวคุณมาก!เช่น เสื้อผ้า,ถ้วย ชามพลาสติก,ขวดน้ำ,สี,ยาฆ่าแมลง,ปุ๋ยเคมี,ท่อน้ำ,ลูกฟุตบอล เรียกได้ว่าเกือบทุกอย่างในชีวิตเราเลย (คนเรานี้เก่งมากๆทำให้ปิโตรเลียมกลายมาเป็นถ้วย ชามพลาสติกได้!)
การวิเคราะห์
ธุรกิจปิโตรเคมีนั้นก็เหมือนกับธุรกิจน้ำมันที่เป็น”หุ้นวัฏจักร” ซึ่งจะต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน แต่ธุรกิจปิโตรเคมีจะต่างจากธุรกิจน้ำมันตรงที่ไม่ต้องมีสัมปทาน บริษัทสามารถเข้ามาได้ถ้าเล็งเห็นโอกาสในบางช่วง ดังนั้นเป็นธุรกิจที่การแข่งขันสูง มีผู้ผลิตอยู่ทั่วโลก ซึ่งบริษัทแข่งกันเรื่องต้นทุนและราคา และมักมีปัญหาเรื่อง oversupply
สิ่งที่ควรระวังสำหรับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่เป็นโรงกลั่นหรืออยู่ในขั้นต้น ก็คือราคาน้ำมันที่ผันผวนมากๆ ซึ่งจะทำให้เกิดStock Lossและ Stock Gain เราจะเห็นได้จากตัวอย่างในปี2555ของPTTGCใน Q2(Stock Loss) และ Q3 (Stock Gain)
ในกรณีที่ราคาน้ำมันตกโรงกลั่นจะเสียผลประโยชน์ แต่แน่นอนย่อมมีธุรกิจที่ได้ผลประโยชน์เช่นกันซึ่งก็คืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง จากปิโตรเคมีเพราะต้นทุนจะถูกลง บริษัทต่างๆเช่น TPA,TPC,THIP,MBAX,TMW จะสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายเช่นเม็ดพลาสติกที่มีราคาถูกลงกว่า เดิมได้
คุณสามารถตรวจสอบราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้จาก -> http://www.tpia.org/stat/graphday.asp?chk=1
จากข้อมูลเบื้องต้นจะเห็นว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีนั้นค่อนข้างเสี่่ ยงและยุ่งยากเพราะเราจะต้องกังวลกับราคาน้ำมันที่คาดการณ์ไม่ได้และเรื่อง ของDemand Supplyของผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกด้วย
(7)หุ้นถูก หุ้นแพง ดูอย่างไร
วิเคราะห์พื้นฐาน! จำไว้เลยไม่สำคัญว่าในอดีตหุ้นเคยอยู๋ที่ราคาเท่าไรแต่สิ่งสำคัญคือมูลค่าในตอนนี้ของมันหุ้นหลายๆตัวอาจราคาเคยขึ้นไปสูงๆได้เพราะ"story"ทั้งๆที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไปมากพอสุดท้ายผลประกอบการออกมากำไรไม่เปนไปตามที่หวังสุดท้ายราคาก็ร่วง สมุตติหุ้นตัวหนึ่งคาดหวังว่าผลประกอบการจะดีมากจนราคาพุ่งไป30บาท พองบออกไม่ดีตามที่คาดราคาร่วงมา23บาท แบบนี้ก็ไม่ได้แปลว่าถูกเพราะมูลค่าจริงๆอาจอยู่ที่20บาท แต่ไป30บาทได้เพราะคนมองโลกในแง่ดีกันมากเกินไป และสำหรับหุ้นทั่วๆไปสามารถดูว่าถูก/แพงได้จากค่า"P/E" แต่เราจะรู้P/Eที่เหมาะสมได้อย่างไร?
วิธีง่ายๆคือให้ เปรียบเทียบP/E และ constant growth rate
หุ้นที่P/E19 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 25% มันคือหุ้นถูก
หุ้นที่P/E7 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 5% มันคือหุ้นแพง
หุ้นที่P/E6 กำไรนิวไฮ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นิวไฮ มันอาจเป็นยอดดอย
หุ้นทีP/E50 เต็มไปด้วยข่าว อย่าไปยุ่ง
แล้วเราจะรู้การเติบโตในอนาคตได้ยังไง?
มันก็คือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในตัวธุรกิจนั้นๆ ซึ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน ลองอ่านหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากันดู เช่นตีแตก, รวยได้ด้วยหุ้น, หนังสือของpeter lynch, ตะแกร่งร่อนหุ้น เป็นต้น ให้ดีควรอ่านให้หมดในร้านหนังสือ แล้วนำมาapplyเป็นของตัวเราเอง
วิธีดูว่าp/eควรจะสูงหรือต่ำ
-มีหนี้สินเยอะ D/E Ratio หรือ Gearing Ratio สูงๆ p/eจะต่ำ
- ถ้าธุรกิจมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่
- มีลูกหนี้การค้าน้อย เจ้าหนี้การค้าเยอะ กระแสเงินสดดี p/e จะสูง
- งบในอดีต ดีต่อเนื่องทุกปี ต้นทุนไม่ผันผวนและสามารถขึ้นรา
- ใช้เงินลงทุนสูงในการขยายกิจการ
-ธุรกิจที่เติบโตโดยไม่ใช้เงินลงทุนมากนัก
- ดูการเติบโตหรือ constant annual growth rateสูง p/eจะสูงตามไปด้วย (PEG)
- สภาพตลาดในช่วงเวลานั้นๆ
- หุ้นโภคภัณฑ์, หุ้นที่มีกำไรพิเศษ, หุ้นที่กำไรไม่สม่ำเสมอ ใช้p/eไม่ได้
- ระมัดระวังในการใช้ p/
-ใช้ forward p/eในการคิด ไม่ต้องใช้trailing p/e, forward p/e- คือใช้กำไรคาดการณ์มาคำนวณ ,trailing p/e คือกำไร4ไตรมาสล่าสุดมาคำนวณ แบบในset.or.th
(8)สรุปสภาพเศรษฐกิจโลกปี2013
เขียนวันที่19/02/12
• US-ปี2010อัตราการว่างงานของUSอ
• US-ความเสี่ยงทางการคลังของสหรั
• US-การค้นพบshale gasช่วยดึงให้ราคาพลังงานโลกอยู
• Europe,Japan,USมี QEกันหมด แล้วเงินจะไหลเข้าไปที่ไหน? ไหลเข้าASEANและตลาดเกิดใหม่! คาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าต่อเนื่อ
• Europe-นักวิเคราะห์เชื่อว่าสถา
• เศรษฐกิจจีน 2H56มีโอกาสชะลอตัวส่งผลต่อเศรษ
• ไทย- คาดว่าจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐา
• ไทย-ระยะยาวมีปัจจัยเสี่ยงจากหน
• ไทย-หากเงินบาทมีค่าเฉลี่ยทั้งป
• ไทย-ปี2555 demandคอนกรีตและซีเมนต์สูงมากแ
• ไทย- Forward P/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น