The Youngblood Way


บทนำ
                ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักนักลงทุนอับดันหนึ่งของโลกอย่าง Warren Buffet , Steve Job ผู้เปลี่ยนแปลงโลกด้วยผลิตภัณฑ์อย่างIphone,Ipad, และ 1ในนักลงทุนที่เก่งที่สุดในประเทศไทยอย่าง เสี่ยยัก คุณวิชัย วชิรพง  ทุกคนย่อมรู้ ความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้  แต่จะมีซักกี่คนบนโลกที่ รู้เส้นทางแห่งความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกนั้นส่วนใหญ่จะเรียนไม่จบ  ออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาสร้างความฝันของตัวเองให้เป็นจริงตั้งแต่วัยหนุ่ม อะไรทำให้พวกเค้าเดินออกนอกเส้นทางของบุคคลธรรมดาทั่วไป? อะไรคือแรงบัลดาลใจให้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมาย? อะไรคือจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ประสบความสำเร็จ?  และนี้ก็คือที่มาของหัวข้อ “The Youngblood Way” ซึ่งเราจะเผยแพร่เส้นทางชีวิตในช่วงเริ่มต้นของบุคคลเหล่านี้ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุดของพวกเค้า และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวต่างๆเหล่านี้จะนำแง่คิดดีๆให้แก่ท่านและเป็นแรงบันดาลใจให้กับชีวิตการทำงานของพวกท่าน

สารบัญ
1:
2:Warren Edward Buffett-เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา
3:Ingvar Feodor Kamprad- เจ้าของอาณาจักรIKEAผู้สรางตัวจาก"0"

(1)-

(2) Warren Edward Buffett-เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา



วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 1930 ที่เมืองโอมาฮา บิดาของเค้าทำงานเป็นนายหน้าค้าหุ้นและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐเนบราสกาด้วย สำหรับเจ้าหนูบัฟเฟตต์นั้นฉายแววความเป็นอัฉริยะในด้านคณิตศาสตร์และเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจตั้งแต่ในวัยเด็ก  สูตรคำนวณต่างๆทางคณิตศาสตร์ ที่เหล่าผู้ใหญ่ต่างส่ายหน้า แต่เจ้าหนูบัฟเฟตต์สามารถจำไว้ในหัวได้อย่างง่ายดาย   



ในวัย 6 ขวบ เขาได้ซื้อโค้กกระป๋องมาขายในราคา4เซ็นต์และขายต่อในราคา5เซ็นต์ กำไรประมาณ20% (ในภายหลัง ปี1982 บัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้น7%ของบริษัท โคคา โคล่าและอุดหนุนกิจการตัวเองด้วยการดื่มโค้กวันละ15กระป๋อง!)



ในวัย8ขวบ หนูน้อยแห่งเมืองโอมาฮาที่ในอนาคตจะได้เป็นเทพยากรณ์นั้นได้หลงใหลการอ่านหนังสือหุ้นหลายๆเล่มของบิดา และสะสมความรู้เรืองการลงทุนตั้งแต่วัยนี้

ในวัย11ขวบ เขาไปทำงานกับพ่อโดยมีหน้าที่คือการจดราคาบนกระดาน และนั่นทำให้เขาได้ซื้อหุ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต เป็นหุ้นของ Cities Services Preferredในราคาหุ้นละ $ 38.25 หลังจากที่เค้าซื้อมาหุ้นได้ตกลงไปถึง $ 27!! แต่บัฟเฟตต์ก็ยังคงถือต่อไปและสามารถขายออกไปในราคา $ 4ซึ่งหลังจากนั้นในสองสามปีต่อมาหุ้นตัวนี้ราคาพุ่งไปถึง $ 200 ซึ่งทำให้เกิดประสบการณ์ ขายหมู ครั้งแรกของนักลงทุนอันดับ1ของโลก แต่สิ่งที่ต่างจากบุคคลทั่วๆไปคือบัฟเฟตต์นั้นเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเองและเข้าใจถึงความสำคัญในการถือหุ้นระยะยาวตั้งแต่ในวัยเด็ก!!....ผมอยากขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนนึกไปถึงหุ้นที่คุณเคยซื้อไว้เมื่อ1-2ปีก่อนแล้วลองมาดูราคาในปัจจุบันคุณจะพบว่าคุณได้พลาดสิ่งดีๆไปมากมาย!!

ในวัย13ปี เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปที่ฝันจะมีธุรกิจของตัวเอง แต่แตกต่างกันตรงที่ บัฟเฟตต์เป็นนักปฏิบัติ! เค้าไม่รอโชคชะตาแต่ลงมือทำในทันที! แต่การจะเป็นเจ้าของกิจการนั้นต้องการเงินทุน ดังนั้นบัฟเฟตต์จึงเริ่มเก็บหอมรอมริบจากการทำงานส่งหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ด้วยกันคือ วอชิงตัน โพสต์ และ วอชิงตัน ไทม์ส เฮราลด์ (ในภายหลัง ปี1973 บัฟเฟตต์ได้ซื้อหุ้นวอชิงตัน โพสต์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่15%และได้ผลตอบแทนเป็นเงิน$ 1,700ล้าน ในเวลา30ปี) และยังได้ทำธุรกิจขายจักรยานอีกด้วย

ในวัย14ปีเจ้าหนูบัฟเฟตต์มีเงินเก็บสูงถึง1200เหรียญ(เยอะมากๆในสมัยนั้น และเยอะมหาศาลสำหรับเด็กวัย14ปี) แต่บัฟเฟตต์ก็ไม่หยุดอยู่แค่นี้เค้านำเงินไปลงทุนต่อโดยนำเงินนั้นไปซื้อที่ดินราว 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร

ในวัย15ปี หนูน้อยแห่งเมืองโอมาฮาก็กลายเป็นเจ้าของธุรกิจตู้เกม  ซึ่งเค้าได้ซื้อตู้เกมส์พินบอลหยอดเหรียญมาจากร้านขายของมือ2 แต่จะเอาไปวางไว้ที่ไหนดีทำเล ทำเล ทำเล คือสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจและที่น่าเหลือเชื่อคือบัฟเฟตต์ในวัยเด็กเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างดี ซึ่งบัฟเฟตต์เห็นว่าในร้านตัดผมแห่งหนึ่งนั้นมีคนมานั่งรอการตัดผมอย่างเบื่อหน่ายอยู่มากมาย  ดังนั้นบัฟเฟตต์จึงไปเจรจาคุยธุรกิจกับเจ้าของร้านตัดผมว่าจะขอเอาตู้เกมมาวางไว้และจะจ่ายค่าเช่าที่ให้กับเจ้าของร้าน และผลออกมาดีมากผู้คนที่รอการตัดผมใช้เวลาว่างในการเล่นเกมส์พินบอล! จากนั้นบัฟเฟตต์ขยายกิจการออกไปมีตู้เกมถึง7เครื่องและนำไปไว้ในร้านตัดผมที่อื่นๆ และได้เงินกลับบ้านอาทิตย์ละ50เหรียญ! (PASSIVE  INCOMEที่หลายท่านฝันถึง เด็กวัย15ปีสามารถทำได้)

ในช่วงมัธยมปลาย บัฟเฟตต์ยังคงเดินหน้าทำธุรกิจต่อเนื่อง โดยร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียนนำเงินไปซื้อรถยนต์โรลล์สรอยซ์(ไม่ได้ซื้อไปรับสาวๆนะครับ^^) ในราคา 350เหรียญและนำไปให้เช่าในราคา 35เหรียญต่อวัน สามารถคืนทุนได้ใน10วัน!! และตอนที่บัฟเฟตต์จบการศึกษามัธยมปลายในวัย16ปี บัฟเฟตต์มีเงินเก็บสูงถึง 6,000เหรียญ

บัฟเฟตต์เข้าเรียนที่ University of Nebraskaและในปีสุดท้ายบัฟเฟตต์ได้อ่านหนังสือ The Intelligent Investor ของเบนจามิน เกรแฮมและหลักการลงทุนในหนังสือเล่มนี้นั้นมีอิทธิพลต่อบัฟเฟตต์มาก ถึงขนาดที่ว่าหลังจบการศึกษาบัฟเฟตต์ย้ายออกจากบ้านเกิดไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งที่นี่เขาได้เรียนกับ เบนจามิน เกรแฮมและทำให้เข้าใจการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามากยิ่งขึ้น และเรียนจบด้วยเกรด A+ ทั้งหมดในปี1951 และเมื่อจบการศึกษาบัฟเฟตต์มีเงินเก็บสูงถึง $ 90,000 หรือ 2.6ล้านบาท (ปรับมูลค่าเทียบเท่ากับปี2009)

ในปี1951 บัฟเฟตต์ในวัย21ปี  หลังจากเรียนจบ บัฟเฟตต์ต้องการทำงานกับเกรแฮม ถึงขนาดเสนอว่าจะยอมทำให้ฟรี! แต่เกรแฮมบอกว่าราคานึ้ยังแพงเกินไป!!!    จากนั้นเขาก็กลับบ้านเกิดและเข้าทำงานเป็นเซลล์แมนในบริษัทของพ่อตัวเอง ระหว่างปี 1951 – 1954 ซึ่งในช่วงนี้บัฟเฟตต์ก็ยังไม่ละความพยายาม ยังคงติดต่อกับ เกรแฮมโดยตลอด  พอมาปี 1954 ความพยายามของบัฟเฟตต์ก็สำเร็จ บัฟเฟตต์ถูกเกรแฮมเชิญมาทำงานกับบริษัทเกรแฮม-นิวแมน  ที่กรุงนิวยอร์กโดยเขาทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัท ในช่วงเวลานี้บัฟเฟตต์ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากเกรแฮมมากมาย  จากนั้นเกรแฮมเกษียณในอีก 2 ปีเนื่องจากความชรา อายุ61ปี  

ในปี 1956 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่สำคัญต่อชีวิตของบัฟเฟตต์มาก  บัฟเฟตต์ในวัยเบญจเพสได้เลือกเส้นทางสำคัญของชีวิตโดยจัดตั้งกองทุนของตัวเองขึ้นมาชื่อว่า บัฟเฟท แอสโซซิเอท ลิมิเทดกองทุนของบัฟเฟตต์สามารระดมทุนได้ $ 105,00 จากเพื่อนและคนในครอบครัวอีก 7 คน และเพิ่มอีกหลายคนในภายหลัง โดยที่บัฟเฟตต์จะได้รับ25%ของกำไรที่ทำได้จากกองทุน และออฟฟิศของวอร์เรนก็คือบ้านของเขานั่นเอง ในช่วงที่บริหารกองทุนนั้นบัฟเฟตต์ใช้หลักการของเบนจามิน เกรแฮม ซึ่งจะให้ความสำคัญกับตัวเลขทางการเงินและเน้นซื้อหุ้นถูกโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพกิจการ และหลักการนี้ทำให้กองทุนของบัฟแฟตต์สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 29.5 %!! ในช่วงปี1956 1969 ซึ่งคนอื่นโดยทั่วไปทำได้เพียง 7 11 %

นี้ก็คือเรื่องราวเส้นทางแห่งความสำเร็จของเทพยากรณ์แห่งโอมาฮาผู้ซึ่งสนใจการลงทุนและธุรกิจตั้งแต่อายุ6ขวบ เป็นเจ้าของธุรกิจในวัย14ปี และด้วยความอุตสาหะทั้งเรียนและทำงานมาตลอดในวัย21ปีก็มีเงินเก็บที่สูงกว่าคนที่ทำงานมาทั่งชีวิต ซึ่งความสุขของเค้าไม่ใช่การใช้เงินแต่เป็นการหาเงิน ดังนั้นในวัยหนุ่มถึงแม้จะมีเงินเก็บที่ทำให้เค้าสุขสบายได้แต่บัฟเฟตต์ก็ยังคงทำงานต่อโดยจัดตั้งกองทุนของตัวเองขึ้นด้วยในขณะที่อายุเพียงแค่25ปีและสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด

เรียบเรียงโดย =The Youngblood Way=

Reference
หนังสือ Warren Buffett Way และ Buffettology
 
 
3:Ingvar Feodor Kamprad- เจ้าของอาณาจักรIKEAผู้สร้างตัวจาก"0"



 “One those who are asleep make no mistakes. มีแต่คนนอนหลับเท่านั้นที่ไม่ทำอะไรผิด” คำคมเด็ดๆของอิงวาร์ คัมพราด ผู้ซึ่งในวัยเด็กนั้นยากจนขัดสน แต่สู้ชีวิตจนเป็นมหาเศรฐีอันดับ1ของยุโรป และในปี2009เป็นบุคคลร่ำรวยที่สุดในโลกเป็นอันดับ5 มีทรัพย์สินถึง 22พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อิงวาร์ คัมพราด บุรุษผู้สร้าง IKEA เป็นบุคคลที่มีชีวิตที่น่าสนใจมากที่สุดอีกคนหนึ่งของโลกเพราะเขาเริ่มทุก สิ่งทุกอย่างมาจากตนเอง ความคิดของเขาเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถนำไปทำตามได้แม้ว่าเขาร่ำรวยเป็นมหา เศรษฐีแต่ยังคงประหยัดอยู่

อิงวาร์ คัมพราดเกิด เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.  1926   เขาเกิด ณ เมือง ทางตอนใต้ของประเทศสวีเดน และเขาเติบโต ขึ้นมาในคือฟาร์มที่มีชื่อว่าเอมทึ Elmtarydครอบครัวของเขามีฐานะธรรมดาที่ค่อนข้างขัดสน    พ่อแม่ของเขาเป็นชาวไร่ชาวนาและ อาศัยอยู่ในฟาร์มที่เกือบจะเสียไปในรุ่นปู่  

อิงวาร์ คัมพราด เป็นเด็กขี้เกียจ     ชอบนอนตื่นสายและไม่ยอมมาช่วยพ่อรีด นมวัวแต่เช้า พ่อของเขาจึงกังวลว่าต่อไปลูกชายจะเป็นคนไม่เอาการเอางาน ดังนั้นเขาจึงได้รับ ของขวัญวันเกิดเป็นนาฬิกาปลุก และเด็กชายอิงวาร์ คัมพราด ก็มีความแน่วแน่ว่าจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ไม่เอาแต่นอนขี้เซา เขาตั้งนาฬิกาปลุกเวลา   5.50  น. ทุกๆ เช้า และตื่นมาทําสิ่งต่างๆ ตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ ซึ่งช่วงเวลาตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทําให้เขาเป็นคนที่ขยันขันแข็งมากขึ้น

อิงวาร์ คัมพราดมีหัวทางการค้า   ตั้งแต่เด็กๆ เขากลายเป็นพ่อค้าตัวน้อยตั้งแต่อายุไม่ถึง
10 ขวบ โดยเขาจะขี่จักรยานเร่ขายของหลายอย่างให้กับเพื่อนบ้านในละแวกแถวนั้น สิน ค้าของ
เขามีตั้งแต่ไม้ขีดไฟ ปลา ปากกา การ์ดอวยพรวันคริสมาส   ฯลฯ   ซึ่งการเรียนรู้การทําธุรกิจที่สําคัญเรื่องแรกคือบทเรียนจากการขายไม้ขีดไฟ อิงวาร์ คัมพราด    เขารู้ว่าเขาสามารถไปซื้อไม้ ขีดไฟจํานวนกล่องใหญ่มาจากเมืองสต็อกโฮล์มด้วยราคาที่ถูกมากๆ แล้วเขาก็เอามาขายปลีกใน ราคาที่ถูกอยู่แต่เขาก็ยังได้กําไรจากการขาย

คนทุกคนเกิดมาย่อมทำผิดพลาดไม่เว้นแม้แต่ อิงวาร์ สมัยวัยรุ่น อิงวาร์เคยสนับสนุนกลุ่มนาซีตามคุณย่าของเขา ซึ่งเมื่อเรื่องนี้เปิดเผยออกมาเขาได้เขียนจดหมายถึงพนักงานทุกคนว่า “ทุกคนเคยเป็นเด็ก..และคุณจะพบว่าบางเรื่องราวในอดีตเป็นเรื่องที่โง่เง่า และไร้สาระมากๆ การเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการนาซีเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม"

อิงวาร์ คัมพราด เริ่มต้นธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ IKEA ตั้งแต่อายุ 17 ปี โดยชื่อ IKEA มาจากอักษรตัวแรกของชื่อของเขา Invar Kamprad และคำว่า Elmtaryd กับ Agunnaryd ซึ่งเป็นชื่อผาร์มและหมูบ้านบ้านเกิดของเขาเอง

ในระยะแรก อิเกียเป็นเหมือนร้านขายของทั่วไป คือขายสินค้าจิปาถะประเภทปากกา กระเป๋าสตางค์ กรอบรูป นาฬิกา เครื่องประดับ และถุงน่อง สองปีต่อมา อิงวาร์เริ่มลงโฆษณาธุรกิจของเขาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นและพิมพ์แค็ตตาล็อกสินค้าของไอเกียเพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าทางจดหมายได้
       
ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษ 1950 รัฐบาลสวีเด่นได้ริเริ่มโครงการ Million Homes Project ซึ่งทำให้อิงวาร์มองเห็นช่องทางในการขายสินค้าตกแต่งบ้าน เขาเริ่มสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้ามาขายในร้าน และผลก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ นั่นคือเฟอร์นิเจอร์ของไอเกียขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ในปี ค.ศ. 1953 ที่ อิงวาร์ คัมพราด เปิดร้านให้ลูกค้าสามารถมาเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ได้ ทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นสินค้าที่จัดแสดงเป็นห้องจริงๆ ก่อนสั่งซื้อเป็นครั้งแรก และเช่นเดียวกับการขายสินค้าชนิดอื่น อิงวาร์พยายามทำราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่ง มีลูกค้ามาเรียงคิวต่อแถวเพื่อเข้าดู ถึง 1,000 คนเมื่อร้านเปิดโชว์สินค้าเป็นครั้งแรก   ทางร้านอีเกียยังมีบริการพิเศษด้วยการเสิร์ฟ กาแฟและขนมปังให้ลูกค้ารับประทานเป็นของว่างรองท้องในขณะที่ชมสินค้าด้วย เนื่องจากอิง วาร์ คัมพราด มีแนวคิดว่า “No good business is done on an empty stomach”

อย่างไรก็ดี การทำสงครามราคาของไอเกียทำให้บริษัทอื่นพากันต่อต้าน พวกเขายื่นคำขาดไม่ให้ซัพพลายเออร์ขายสินค้าให้ไอเกีย มิฉะนั้นจะไม่สั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์เหล่านั้นอีก
         
ทว่านักธุรกิจผุ้สามารถย่อมเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้เสมอ เมื่อไม่สามารถหาซื้อสินค้าได้ อิงวาร์จึงแก้ปัญหาโดยก่อตั้งแผนกดีไซน์เพื่อออกแบบและผลิตเฟอร์นิเจอร์ของไอเกียขึ้นโดยเฉพาะ  เมื่ออยู่มาวันหนึ่งในปี ค.ศ.1956 ขณะที่ กิลลิส ลูนด์เกรน พนักงานฝึกหัดในแผนกเขียนแบบของไอเกียกำลังขนส่งโต๊ะให้ลูกค้า เขาพยายามดันโต๊ะตัวที่ว่าเข้าไปในรถ แต่ไม่ว่าจะขยับอย่างไร ขาโต๊ะที่ยื่นออกมาทำให้วางไม่พอดีสักที เขาจึงได้อุทานขึ้นมาว่า “ให้ตายเถอะ ถอดขาโต๊ะออกมาแล้วเก็บไว้ข้างใต้ละกัน”
         
แทบไม่น่าเชื่อ เพียงคำพูดประโยคสั้นๆ ของกิลลิสได้จุดประกายให้ไอเกียคิดค้นวิธีดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถถอดประกอบได้ เพื่อว่าเมื่อแพ็คใส่กล่อง สินค้าจะได้อยู่ในลักษณะแบบราบ ง่ายต่อการขนส่งและทำให้สินค้าเสียหายน้อยลง ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในครั้งนี้ช่วยให้ไอเกียลดต้นทุนการขนส่งได้มาก และสามารถแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่นได้
         
อย่างไรก็ดี แม้อิเกียจะผลิตสินค้าคราวละมากๆ และตั้งราคาถูกแบบ “กระชากใจ” แต่อิงวาร์ไม่เคยละเลยเรื่องของคุณภาพแม้แต่น้อยเขาเคยกล่าวไว้ว่า “สำหรับเฟอร์นิเจอร์ดีไซเนอร์ การออกแบบโต๊ะราคา 1,000 ดอลลาร์เป็นเรื่องง่ายๆ แต่การออกแบบโต๊ะที่สวยงานและใช้งานได้ดีในราคา 50 ดอลลาร์ ต้องใช้ความทุ่มเทอย่างที่สุดเท่านั้น”
         
และด้วยแนวคิดเช่นนี้ คนที่มีรายได้น้อยจึงสามารถเป็นเจ้าของเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เรียบหรูสไตล์สแกนดิเนเวียได้ไม่ยาก และทำให้บริษัทไอเกียเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เคยมีผู้บันทึกสถิติไว้ว่า ชาวยุโรปร้อยละ 10 ใช้เตียงของไอเกีย ส่วนแค็ตตาล็อกของไอเกียที่มีการแปลมากกว่า 27 ภาษานั้นมีผู้อ่านเป็นจำนวนมหาศาล โดยเป็นรองก็แต่คัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น
         
อิเกียกลายเป็นผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 9,500 ชิ้น วางขายใน 36 ประเทศ และมีพนักงานมากกว่า 75,000 คน ในปี ค.ศ. 1999 อิงวาร์ได้จัดให้วันสิ้นปีเป็น Big Thank you Event โดยยกยอดขายทั้งหมดที่ทำได้ในวันนั้นให้เป็นโบนัสแก่พนักงานจึงไม่น่าแปลกใจที่อิงวาร์จะเป็นที่รักของลูกน้องมาก

แม้อิงวาร์จะเกษียณอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี ค.ศ.1986 แต่เขายังทำงานในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัทมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อแนวคิดของไอเกียอย่างมาก ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเกียจะเลือกโดยสารเครื่องบินชั้นประหยัดตามอิงวาร์ มหาเศรษฐีที่ยังขับรถเก่าอายุเกิน 15 ปี ผู้มีความสุขเมื่อได้กินอาหารในร้านท้องถิ่น
         
นอกจากการปลูกฝังความคิดดีๆ แล้ว อิงวาร์รู้ดีว่าความเจริญเติบโตของไอเกียขึ้นอยู่กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ไอเกียใช้ก็คือ “ไม้” ไอเกียจึงทำโครงการหลายๆ โครงการเพื่ออนุรักษ์ป่า ตัวอย่างเช่น โครงการที่ทำร่วมกับ WWF (องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล – World Wide Fund for Nature) เพื่อติดตามต้นกำเนินของไม้ที่นำมาใช้โรงงาน ซึ่งสามารถลดการลักลอบตัดไม้ในจีนและรัสเซียได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปรัชญาในการทำงานของ อีเกีย ภายใต้การบริหารงานของ อิงวาร์ คัมพราด คือ การทำงานหนัก ประหยัดมัธยัสถ์ และตระหนักในคุณค่าของการออกแบบที่ดี

ปรัชญาเรื่อง “การทำงานหนัก” นั้นเป็นสิ่งที่เขาได้แบบอย่างจากผู้เป็นย่า ที่ทำงานหนักมากจนสามารถรักษาฟารม์ของครอบครัวไว้ได้

ปรัชญาเรื่อง “ความประหยัดมัธยัสถ์”
“ก็ มีบ้าง ที่บางครั้ง ผมซื้อเสื้อผ้าดี ๆ มาใส่   ทานอาหารร้านหรู ๆ บ้าง   แต่การใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายมาก ๆ อาจจะกระทบต่อผู้อื่น  เช่น  ลูกน้องที่เลือกผมเป็นแบบอย่าง  คนเป็นหัวหน้าควรทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้อง  ทั้งด้านการบริหาร และเรื่องชีวิตส่วนตัว”

เรียบเรียงโดย =The Youngblood Way=

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น